tag:blogger.com,1999:blog-16923193923414070532024-03-13T23:14:04.487+07:00องค์การนักศึกษา วิทยาลัยชุมชน ปัตตานีso.pncchttp://www.blogger.com/profile/12918364098107477979noreply@blogger.comBlogger23125tag:blogger.com,1999:blog-1692319392341407053.post-41927863019107346922010-07-06T18:01:00.000+07:002010-07-06T18:01:43.751+07:00คุณธรรม จริยธรรมคุณธรรม จริยธรรม<br />
<br />
<br />
ความหมายของคุณธรรม จริยธรรม คำว่าจริยธรรม ซึ่งตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า Morality ได้มีผู้ให้ความหมายไว้ ดังนี้<br />
<br />
โชติ เพชรชื่น (2524 : 23) กล่าวว่าจริยธรรม ก็คือ “จริยะ” แปลว่าความประพฤติกิริยาที่ควรประพฤติ“ธรรม” คือ ความดี เมื่อรวมความหมายของสองคำเข้าด้วยกันคือ ความประพฤติดี กรมวิชาการ (2524 : 3-4) ไดให้ความหมายจริยธรรมว่าเป็นแนวทางของการประพฤติชอบทั้งกาย วาจา และใจ เพื่อประโยชน์ต่อตนเอง ผู้อื่น และสังคม<br />
<br />
กระทรวงศึกษาธิการ (2548 : 2) ให้ความหมายคูณธรรมไว้ว่า สิ่งที่บุคคลส่วนใหญ่ยอมรับว่าดีงาม ซึ่งส่งผลให้เกิดการกระทำที่เป็นประโยชน์ และความดีงามที่ดีที่แท้จริงต่อสังคม<br />
<br />
จริยธรรม หมายถึง สิ่งที่บุคคลหรือสังคมยึดถือเป็นเครื่องมือช่วยตัดสิน และกำหนดการกระทำของตนเอง<br />
<br />
โคลเบอร์ก (Kohlberg). 1976 : 4-5) ได้ให้ความหมายของจิยธรรมไว้วา จริยธรรมมีพื้นฐานของความยุติธรรม คือมีการกระจายสิทธิและหน้าที่อย่างเท่าเทียมกัน โดยมิได้หมายถึงเกณฑ์บังคับทั่ว ๆ ไป แต่เป็นเกณฑ์ที่มีความเป็นสากลที่คนส่วนใหญ่รับไว้ในทุกสถานการณ์ ไม่มีการขัดแย้งเป็นอุดมคติ<br />
<br />
เรสต์ (Rest . 1977 : 6) ได้ให้ความหมายของจริยธรรมว่า จริยธรรมเป็นมโนทัศน์ที่เกี่ยวข้องกับหลักความยุติธรรมในการมีปฏิสัมพันธ์กันในสังคม โดยไม่เกี่ยวข้องกับคุณค่าหรือความรู้สึกส่วนตัวของแต่ละบุคคล เช่น ความรู้สึกส่วนตัวที่จะพัฒนาตนเองถึงจุดสุดยอดแห่งศักยภาพของเขา<br />
<br />
<a name='more'></a>จากความหมายที่ได้กล่าวมาแล้ว สรุปได้ว่า คุณธรรม จริยธรรม หมายถึง คุณลักษณะที่เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติ ตลอดจนการคิดในทางที่ถูกต้อง ดีงาม มีคุณประโยชน์ทั้งตนเอง ละส่วนรวมสามารถควบคุมตนเองในการประพฤติปฏิบัติ และการปรับตัวเพื่อความสงบสุขในการอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขในสังคม<br />
<br />
การส่งเสริมคุณธรรมนำความรู้ คุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการ<br />
<br />
ขอบข่ายของคุณธรรม จริยธรรม ที่จำเป็นในการดำรงชีวิตอย่างมีความสุข ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน และเยาวชน ได้แก่<br />
<br />
ขยัน ประยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย สุภาพ สะอาด สามัคคี และมีน้ำใจ ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้<br />
<br />
ขยัน คือ ผู้ที่มีความตั้งใจเพียรพยายามทำหน้าที่การงานอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ในเรื่องที่ถูกที่ควร สู้งาน มีความพยายาม ไม่ท้อถอย กล้าเผชิญอุปสรรค รักงานที่ทำ ตั้งใจทำหน้าที่อย่างจริงจัง<br />
<br />
ประหยัด คือ ผู้ที่ดำเนินชีวิตความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย รู้จักฐานะทางการเงินของตน คิดก่อนใช้ คิดก่อนซื้อ เก็บออมถนอมใช้ทรัพย์สินสิ่งของอย่างคุ้มค่า ไม่ฟุ่มเฟือย <br />
<br />
ไม่ฟุ้งเฟ้อ รู้จักทำบัญชีรายรับ – รายจ่าย ของตนเองอยู่เสมอ<br />
<br />
ซื่อสัตย์ คือ ผู้ที่มีความประพฤติตรงทั้งต่อเวลา ต่อหน้าที่ และต่อวิชาชีพ มีความจริงใจปลอดจากความรู้สึกเอนเอียง หรืออคติ ไม่ใช้เล่ห์กลคดโกงทั้งทางตรงและทางอ้อม รับรู้หน้าที่ของตนเองปฏิบัติอย่างเต็มที่และถูกต้อง<br />
<br />
มีวินัย คือ ผู้ที่ปฏิบัติตนในขอบเขต กฎ ระเบียบของสถานศึกษา สถาบัน องค์กร และประเทศ โดยที่ตนยินดีปฏิบัติตามอย่างเต็มใจ และตั้งใจยึดมั่นในระเบียบแบบแผน ข้อบังคับ และข้อปฏิบัติ รวมถึงการมีวินัยทั้งต่อตนเอง และสังคม <br />
<br />
สุภาพ คือ ผู้ที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ตามสถานภาพ และกาลเทศะ มีสัมมาคารวะ เรียบร้อย ไม่ก้าวร้าว รุนแรง หรือวางอำนาจข่มผู้อื่นทั้งโดยวาจา และท่าทางเป็นผู้มีมารยาทดีงาม วางตนเหมาะสมกับวัฒนธรรมไทย<br />
<br />
สะอาด คือ ผู้ที่รักษาร่างกาย ที่อยู่อาศัย และสิ่งแวดล้อมได้อย่างถูกต้องตามสุขลักษณะ ฝึกฝนจิตไม่ให้ขุ่นมัว มีความแจ่มใสอยู่เสมอ ปราศจากความมัวหมองทั้งกาย ใจ และสภาพแวดล้อม มีความผ่องใส เป็นที่เจริญตา ทำให้เกิดความสบายใจแก่ผู้พบเห็น<br />
<br />
สามัคคี คือ ผู้ที่เปิดใจกว้าง รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น รู้บทบาทของตนทั้งในฐานะผู้นำ และผู้ตามที่ดี มีความมุ่งมั่นต่อการรวมพลัง ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพื่อให้การทำงานสำเร็จลุล่วง สามารถแก้ปัญหาและขจัดความขัดแย้งได้ เป็นผู้มีเหตุผล ยอมรับความแตกต่าง ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ความคิดและความเชื่อ พร้อมที่จะปรับตัว เพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติและสมานฉันท์<br />
<br />
มีน้ำใจ คือ ผู้ให้และผู้อาสาช่วยเหลือสังคม รู้จักแบ่งปัน เสียสละความสุขส่วนตน เพื่อทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น เห็นอกเห็นใจ และเห็นคุณค่าในเพื่อนมนุษย์ และผู้ที่มีความเดือดร้อน มีความเอื้ออาทรเอาใจใส่ อาสาช่วยเหลือสังคมด้วยแรงกาย และสติปัญญา ลงมือปฏิบัติการเพ่อบรรเทาปัญหา หรือร่วมสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามให้เกิดขึ้นในชุมชน<br />
<br />
จากการศึกษาในเรื่องคุณธรรมนำความรู้ คุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการ ที่จำเป็นในการดำรงชีวิตอย่างมีความสุขของนักเรียน ตามแนวของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สามารถสรุปได้ดังตาราง 1<br />
<br />
<br />
<br />
คุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการ พฤติกรรมที่แสดงออก ตัวบ่งชี้ <br />
<br />
1. ขยัน <br />
<br />
- ตั้งใจปฏิบัติงาน<br />
<br />
- มีความเพียรพยายาม<br />
<br />
- ทำงานต่อเนื่อง<br />
<br />
- มีความตั้งใจเพียรพยายามทำหน้าที่การงานอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ในเรื่องที่ถูกที่ควร สู้งาน มีความพยายาม ไม่ท้อถอย กล้าเผชิญอุปสรรค รักงานที่ทำ ตั้งใจทำหน้าที่อย่างจริงจัง <br />
<br />
<br />
<br />
2. ประหยัด <br />
<br />
- ใช้ทรัพย์สินของตนคุ้มค่า<br />
<br />
- รู้จักเก็บออมถนอมทรัพย์สิน<br />
<br />
- ใช้พลังงาน/ทรัพยากรอย่างประหยัดคุ้มค่า <br />
<br />
- รู้จักเก็บออม ถนอมใช้ทรัพย์สิน สิ่งของแต่พอประมาณให้เกิดประโยชน์คุ้มค่า ไม่ฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ <br />
<br />
3. ซื่อสัตย์ <br />
<br />
- ปฏิบัติตนเป็นคนพูดจริงทำจริง<br />
<br />
- ไม่ลักขโมย<br />
<br />
- ซื่อตรงต่อเวลา และหน้าที่ <br />
<br />
- มีความประพฤติตรงทั้งต่อเวลา ต่อหน้าที่ และต่อวิชาชีพ มีความจริงใจปลอดจากความรู้สึกเอน เอียง หรืออคติ ไม่ใช้เล่ห์กลคดโกงทั้งทางตรงและทางอ้อม รับรู้หน้าที่ของตนเองปฏิบัติอย่างเต็มที่และถูกต้อง<br />
<br />
4. มีวินัย <br />
<br />
- ปฏิบัติตามกฎระเบียบของ โรงเรียนอย่างเคร่งครัด<br />
<br />
- .ปฏิบัติงานด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ<br />
<br />
- เป็นผู้มีวินัยต่อตนเองและสังคม<br />
<br />
- ปฏิบัติตนในขอบเขต กฎ ระเบียบของสถานศึกษา สถาบัน องค์กร และประเทศ โดยที่ตนยินดีปฏิบัติตามอย่างเต็มใจ และตั้งใจยึดมั่นในระเบียบแบบแผน ข้อบังคับ และข้อปฏิบัติ รวมถึงการมีวินัยทั้งต่อตนเอง และสังคม <br />
<br />
5. สุภาพ <br />
<br />
- มีกิริยามารยาทเรียบร้อย<br />
<br />
- พูดจาไพเราะ<br />
<br />
- แต่งกายสุภาพเรียบร้อย<br />
<br />
- มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ตามสถานภาพ และกาลเทศะ มีสัมมาคารวะ เรียบร้อย ไม่ก้าวร้าว รุนแรง หรือวางอำนาจข่มผู้อื่นทั้งโดยวาจา และท่าทางเป็นผู้มีมารยาทดีงาม วางตนเหมาะสมกับวัฒนธรรมไทย <br />
<br />
6. สะอาด <br />
<br />
- ร่างกายสะอาด<br />
<br />
- เครื่องแต่งกาย/เครื่องใช้สะอาด<br />
<br />
- รักษาความสะอาดสิ่งแวดล้อม<br />
<br />
- รู้จักรักษาร่างกาย ที่อยู่อาศัย และสิ่งแวดล้อมได้อย่างถูกต้องตามสุขลักษณะ ฝึกฝนจิตไม่ให้ขุ่นมัว มีความแจ่มใสอยู่เสมอ ปราศจากความมัวหมองทั้งกาย ใจ และสภาพแวดล้อม มีความผ่องใส เป็นที่เจริญตา ทำให้เกิดความสบายใจแก่ผู้พบเห็น <br />
<br />
7. สามัคคี <br />
<br />
- ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้<br />
<br />
- ไม่ทะเลาะวิวาท<br />
<br />
- รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น<br />
<br />
- เปิดใจกว้าง รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น รู้บทบาทของตนทั้งในฐานะผู้นำ และผู้ตามที่ดี มีความมุ่งมั่นต่อการรวมพลัง ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพื่อให้การทำงานสำเร็จลุล่วง สามารถแก้ปัญหาและขจัดความขัดแย้งได้ เป็นผู้มีเหตุผล ยอมรับความแตกต่าง ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ความคิดและความเชื่อ พร้อมที่จะปรับตัว เพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติและสมานฉันท์ <br />
<br />
8. มีน้ำใจ <br />
<br />
- เอื้ออาทรต่อผู้อื่นด้วยความเต็มใจ<br />
<br />
- ให้ความช่วยเหลือผู้อื่นอย่างสม่ำเสมอ<br />
<br />
- ร่วมบริจาคทรัพย์สิน/สิ่งของ<br />
<br />
- ให้และผู้อาสาช่วยเหลือสังคม รู้จักแบ่งปัน เสียสละความสุขส่วนตน เพื่อทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น เห็นอกเห็นใจ และเห็นคุณค่าในเพื่อนมนุษย์ และผู้ที่มีความเดือดร้อน มีความเอื้ออาทรเอาใจใส่ อาสาช่วยเหลือสังคมด้วยแรงกาย และสติปัญญา ลงมือปฏิบัติการเพ่อบรรเทาปัญหา หรือร่วมสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามให้เกิดขึ้นในชุมชนso.pncchttp://www.blogger.com/profile/12918364098107477979noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1692319392341407053.post-62462525807892210392010-07-06T17:56:00.000+07:002010-07-06T17:56:12.918+07:00มารยาททางสังคม"มารยาททางสังคม"<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
มารยาท หรือ มรรยาท หมายถึง กิริยาวาจาที่ถือว่าสุภาพเรียบร้อย ถูกกาลเทศะ<br />
<br />
ส่วนคำว่า มารยาทในสังคม จะหมายถึง กรอบหรือระเบียบแบบแผนที่ควรประพฤติหรือควรละเว้นในส่วนที่เกี่ยวกับผู้อื่น รวมทั้งชุมชนหรือคนหมู่มาก โดยเหตุที่มนุษย์เราไม่สามารถอยู่ลำพังคนเดียวในโลกได้ ต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้อื่นไม่มากก็น้อย ด้วยเหตุนี้ จึงต้องมีกฎกติกากำหนดแบบแผนในการอยู่ร่วมกัน ซึ่งทุกชาติทุกประเทศต่างก็มีแบบอย่างทางวัฒนธรรมที่เรียกกันว่า มารยาททางสังคมนี้ทั้งสิ้น เพียงแต่รายละเอียดอาจจะแตกต่างกันบ้าง อย่างไรก็ดี ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีปัจจุบัน อาจทำให้คนสมัยนี้หันไปพึ่งพาเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ และมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นน้อยลง อันเป็นเหตุให้ละเลยหรือเพิกเฉยต่อมารยาทที่พึงมีต่อกัน แต่สิ่งเหล่านี้ ก็ยังจำเป็นต่อการอยู่ร่วมกันในทุกสังคม ดังนั้น กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอนำสิ่งละอันพันละน้อยเกี่ยวกับมารยาททางสังคมมาเสนอ เพื่อเป็นเกร็ดความรู้ และประโยชน์ในทางปฏิบัติ ดังต่อไปนี้ <br />
<br />
- การกล่าวคำว่า “ ขอบคุณ ” เมื่อผู้อื่นให้สิ่งของ /บริการ หรือเอื้อเฟื้อทำสิ่งต่างๆให้ไม่ว่าจะโดยหน้าที่ของเขาหรือไม่ก็ตาม เช่น บริการเปิดประตูให้ คนลุกให้นั่งหรือช่วยถือของให้เราในรถประจำทาง คนช่วยกดลิฟต์รอเรา หรือช่วยหยิบของที่เราหยิบไม่ถึงให้ เป็นต้น โดยปกติจะใช้คำว่า “ ขอบคุณ ” กับผู้ที่อาวุโสกว่า และใช้คำว่า “ ขอบใจ ” กับผู้อายุน้อยกว่าเรา แต่ปัจจุบันมักใช้รวมๆกันไป<br />
<br />
- เอ่ยคำว่า “ ขอโทษ ” เมื่อต้องรบกวน /ขัดจังหวะผู้อื่น เช่น เขากำลังพูดกันอยู่ และต้องการถามธุระด่วน ก็กล่าวขอโทษผู้ร่วมสนทนาอีกคน แต่ควรเป็นเรื่องด่วนจริงๆ หรือกล่าวเมื่อทำผิดพลาด /ทำผิด หรือทำสิ่งใดไม่ถูก ไม่เหมาะสมโดยไม่ตั้งใจ เช่น เดินไปชนผู้อื่น หยิบของข้ามตัวหรือศีรษะผู้อื่น เป็นต้น<br />
<br />
สำหรับคนไทย เมื่อเอ่ยคำว่า “ ขอบคุณ ” หรือ “ ขอโทษ ” ต่อผู้ที่อาวุโสกว่า เช่น พ่อแม่ ครูอาจารย์ ผู้ใหญ่ มักจะยกมือไหว้พร้อมกันไปด้วย เช่น กล่าวขอบคุณพร้อมยกมือไหว้พ่อแม่ที่ท่านซื้อของให้ เป็นต้นso.pncchttp://www.blogger.com/profile/12918364098107477979noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1692319392341407053.post-66716607687891042412010-07-06T17:48:00.000+07:002010-07-06T17:48:19.005+07:00การบริหารแบบกำเกวียน<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhDWvoLE13uibcuIbACP-XEtUv_0sWhapngYHDQsRj9PUOgnohGlW2KYq-ebHYdqYOoWI2st5Hpr6sNvTRkLYPEdB9LvN2Gibqh_JQO81ZSd1cGqZGjLdDLFuPMe1iaFLJDfUJG-qv9f3Q/s1600/spoke-concepts.gif" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" rw="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhDWvoLE13uibcuIbACP-XEtUv_0sWhapngYHDQsRj9PUOgnohGlW2KYq-ebHYdqYOoWI2st5Hpr6sNvTRkLYPEdB9LvN2Gibqh_JQO81ZSd1cGqZGjLdDLFuPMe1iaFLJDfUJG-qv9f3Q/s320/spoke-concepts.gif" width="320" /></a></div>การบริหารแบบกำเกวียน (Spoke Management) เป็นการนำปรัชญาการรับแรงถ่ายแรงจากวงล้อเกวียน ขณะที่เกวียนเดินหน้า เกวียนก็จะดึงเพลาเหล็กที่เป็นแกน ซึ่งร้อยผ่านดุมที่เป็นจุดศูนย์กลางของกำและกงล้อล้อเกวียนก็จะหมุนรอง เปลี่ยนการเคลื่อนที่เป็นวงกลมของกงล้อ ไปเป็นการเคลื่อนที่แนวราบของเกวียน<br />
<br />
<a name='more'></a><br />
เมื่อการเคลื่อนที่ของเกวียนคือ ทิศทางขององค์กรที่จะเดินหน้าไป หน่วยงานหนึ่ง ๆ ก็เหมือนกงล้อ เมื่อกำล้อซี่ที่หมุนตั้งฉากกับพื้นดิน กำนั้นจะทำหน้าที่หลัก เป็นรับแรงมากสุดที่จะส่งไปยังเพลา ในขณะเดียวกันกำอื่น ๆ จะเป็นเพียงกำพยุงให้กงล้อเป็นรูปวงกลม เปรียบเสมือนในภาวะนั้นกำนั้นทำหน้าที่ความปลอดภัย ก็จะเป็นพระเอก หรือ เจ้าภาพ (Managerial of Celemony) กำอื่นก็เป็นสมาชิก ในทำนองเดียวกัน หากกำล้อด้าน สิ่งแวดล้อมมารับแรงตั้งกับพื้นดิน ก็จะเป็นเจ้าภาพอย่างนั้นไปเรื่อย ๆ เจ้าภาพแต่ละกำคือสมาชิกในหน่วยงานนั้น ๆ อย่างไรก็ตาม ก็ไม่จำเป็นต้องตั้งทุกกำมีเจ้าภาพอาจเป็นสมาชิกหน่วยงานเฉย ๆ ก็ได้ หรืออาจจะสลับหมุนเวียนแต่ละกำ เพื่อพัฒนาบุคลากรให้ชำนาญหลายๆด้านก็ได้ โดยเอาหลักความปรีชาสามารถ (Competency) มาจับ<br />
<br />
การบริหารงานแบบกำเกวียนบางท่านเรียกว่า เป็นวิธีหนึ่งของการให้อำนาจพนักงาน (Empowerment) แท้จริงแล้วอาจเป็นการสั่งให้กำทำแบบเผด็จการก็ได้ หรือเลือกกำแบบประชาธิปไตย จากสมาชิกในกลุ่มก็ได้ หรือจะให้หน่วยงานนั้น ๆ จัดเองก็ได้ การให้กำทำ อาจเป็นการทำตามสั่งเท่านั้นหรือมอบอำนาจให้กำทำก็ได้ โดยสรุปแล้ว การบริหารงานแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นการกระจายอำนาจso.pncchttp://www.blogger.com/profile/12918364098107477979noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1692319392341407053.post-69683374027045923552010-01-10T21:45:00.001+07:002010-01-10T21:45:58.018+07:00เทคนิคการสร้างแรงจูงใจในชีวิต<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgPpXJgJB3lJbGu73ZhZGAv-5lWUyAQauXuZ0te_2hP5MVuJ6L4nXudsatATbyAc4-mR2GQyTT1x7-0lwnaQqkbosdw_G46RVoqNzWNGY2APAdmVNpKPlbygu0VsV00RVxSl5m3HWQNZTU/s1600-h/homepage_r2_c2+copy.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" ps="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgPpXJgJB3lJbGu73ZhZGAv-5lWUyAQauXuZ0te_2hP5MVuJ6L4nXudsatATbyAc4-mR2GQyTT1x7-0lwnaQqkbosdw_G46RVoqNzWNGY2APAdmVNpKPlbygu0VsV00RVxSl5m3HWQNZTU/s200/homepage_r2_c2+copy.jpg" /></a><br />
</div>ถ้าวันไหนเรามีแรงจูงใจหรือกำลังใจในชีวิต น้อยกว่าปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นหรือกำลังจะเกิดขึ้น วันนั้นอาการที่แสดงออกมาคือ เบื่อ เซ็ง ขี้เกียจ ท้อแท้ ฯลฯ เปรียบเหมือนกับการที่เราขับรถยนต์ขึ้นภูเขา ถ้าวันไหนต้องขับขึ้นภูเขาที่สูงชันมากเกินกว่ากำลังเครื่องยนต์ของเราจะสู้ ได้ วันนั้น รถยนต์ของเราก็คงจะหยุดอยู่กับที่หรือไม่ก็ลื่นไถลตกลงมาสู่ที่ต่ำ ถ้าวันไหนเรามีแรงจูงใจหรือกำลังใจ มากกว่าปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นหรืออาจจะเกิดขึ้น วันนั้น อาการที่เราแสดงออกคือ <br />
<a name='more'></a>สนุก ขยัน แรงฮึดเยอะ ไม่กลัว กล้าทำ กล้าลุย กล้าเสี่ยง ฯลฯ เปรียบเสมือนกับการที่เราขับรถยนต์ที่มีกำลังเครื่องยนต์แรงมากหรือเหมือน ขับรถโฟวีลที่สามารถขับขึ้นภูเขาลูกไหนก็ได้ ลุยกับสภาพถนนแบบไหนก็ได้ <br />
แรงจูงใจมีอยู่ในตัวคนเราอย่างไม่จำกัด แต่ข้อจำกัดอยู่ที่ใจของเราเองที่ไปจำกัดว่าเราไม่มี เราไม่ไหว เราไม่สู้ เช่น เวลาตื่นนอนตอนเช้าถ้าวันไหนเรารู้สึกเบื่อ ท้อ ขี้เกียจ การที่จะลุกขึ้นออกจากเตียงยังยากเลย แทบจะไม่มีแรงต่อสู้กับแรงดึงดูดของเตียง แต่ถ้าวันไหนมีกำลังไหม้บ้าน (แรงผลักที่เกิดจากความกลัว) หรือเราต้องไปขึ้นเครื่องบินไปเที่ยวต่างประเทศ(แรงดึงที่เกิดจากความอยาก) เราสามารถตื่นและลุกออกจากเตียงได้โดยไม่ต้องลังเล เราสามารถชนะแรงดึงดูดของเตียงนอนได้อย่างง่ายดาย สิ่งเหล่านี้แสดงว่าในความเป็นจริงแล้ว ศักยภาพในตัวเรามีอยู่อย่างไม่จำกัด ขึ้นอยู่กับว่าเรามีสิ่งกระตุ้น(ความอยากและความกลัว)และเทคนิควิธีการในการ ฉุดดึงเอาแรงจูงใจ ออกมาใช้ได้มากน้อยเพียงใดเท่านั้น<br />
เพื่อให้ชีวิตของเรามีแรงขับเคลื่อนที่มากพอและต่อเนื่อง <br />
<br />
<span style="color: blue;">ขอแนะนำเทคนิคการสร้างแรงจูงใจจาก 2 แหล่งดังนี้</span><br />
<br />
การสร้างแรงจูงใจ...จากเรื่องราวในอดีต<br />
ชีวิตคนหนึ่งคน คือภาพยนตร์หนึ่งเรื่องที่ถ่ายเก็บไว้ตั้งแต่เกิด แต่ไม่ค่อยมีใครนำมาเปิดใช้ในระหว่างทางของชีวิต ส่วนใหญ่จะเปิดกันก็ต่อเมื่อเข้าสู่บั้นปลายของชีวิต เข้าข่ายที่ว่า "คนแก่ชอบเล่าเรื่องเก่า" เพราะชีวิตของคนกลุ่มนี้ไม่มีอนาคตแล้ว พลังที่จะช่วยให้ชีวิตของเรายังคงอยู่ต่อไปได้คือกำลังใจจากเรื่องราวในอดีต ที่รู้สึกภูมิใจ เล่ากี่ครั้งกี่หนก็ไม่เคยเบื่อ (แต่คนฟังเบื่อไปหลายรอบแล้ว) ถ้าเรายังไม่แก่ ขอแนะนำว่าควรจะนำเอาเรื่องเก่าทั้งที่เป็นจุดด้อยและความภูมิใจในชีวิตที่ ผ่านมา มาสร้างกำลังใจให้กับตัวเอง เมื่อไหร่ที่นึกถึงความยากลำบากในชีวิตที่ผ่านมาก็จะทำให้เราเกิดพลังที่จะ ขับเคลื่อนตัวเองให้หลุดพ้นจากสภาพที่เราเคยลำบากมาก่อน ในขณะเดียวกันถ้าเรานึกถึงเรื่องที่เราภูมิใจ อาจจะเป็นความสำเร็จในชีวิตที่ผ่าน ก็เท่ากับว่าเราได้ชาร์ตไฟให้กับตัวเองด้วยความภูมิใจในอดีตของตัวเราเอง<br />
การสร้างแรงจูงใจจากอดีต ถือเป็นเทคนิคการสร้างแรงจูงใจแบบผลักดันให้ชีวิตเราเดินไปข้างหน้า ด้วยเรื่องราวที่ผ่านมาแล้ว เหมือนกับการที่เราเข็นรถยนต์ที่จอดอยู่จากด้านหลังของรถนั่นเอง ตัวอย่างเทคนิคการสร้างแรงจูงใจจากเรื่องราวในอดีต...<br />
<br />
* ใครเบื่อพ่อเม่ ขอให้นึกถึงตอนที่เราเจ็บไข้ไม่สบายตอนเด็กๆ ใครเป็นคนเผ้าดูแลเอาใจใส่เราตลอดเวลา<br />
<br />
* ใครเบื่องาน ขอให้นึกถึงวันเริ่มงานวันแรก<br />
<br />
* ใครเบื่อสามีหรือภรรยา ให้นึกถึงวันที่แต่งงาน<br />
<br />
* ใครเบื่อลูกให้นึกถึงวันที่คลอดลูกหรือไปรอหน้าห้องคลอด<br />
<br />
* ใครเบื่อคนรอบข้างให้นึกถึงวันที่เราเคยไปหลงป่าอยู่คนเดียว หรือวันที่เราต้องอยู่บ้านคนเดียว<br />
<br />
* ใครเบื่อตัวเอง ให้นึกถึงวันที่เราเคยให้คำปรึกษาผู้อื่น<br />
<br />
<span style="color: blue;">การสร้างแรงจูงใจ...จากเรื่องราวในอนาคต</span><br />
คนบางคน ในบางเวลา เรื่องราวในอดีตอาจจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ไม่ได้ อาจจะเป็นเรื่องในอดีตมีแต่เรื่องที่ช่วยฉุดแรงจูงใจให้ต่ำลงไปอีก จึงขอแนะนำให้ใช้เทคนิคสร้างแรงจูงใจโดยใช้เรื่องราว เหตุการณ์ในอนาคตมาหลอกล่อหรือดึงดูดใจ การสร้างแรงจูงใจในชีวิตเปรียบเสมือน การที่เราเข็นรถชีวิตที่จอดอยู่นิ่งๆ ถ้าไม่สามารถเข็นจากด้านหลังได้ ก็อาจจะต้องใช้วิธีการดึงจากข้างหน้า หรือไม่ก็อาจจะต้องใช้ทั้งสองทางรวมดัน(ทั้งดึงและดัน)<br />
<br />
สำหรับการสร้างแรงจูงใจจากเรื่อง ราวในอนาคต เป็นการหลอกตัวเองให้วิ่งไล่จับความฝัน หลอกตัวเองให้กลัวการสูญเสียบางสิ่งบางอย่างในอนาคตไป เป็นการป้องกันคำว่า "เสียดาย" ในชีวิต เพราะคนหลายคนมักจะเกิดคำว่าเสียดายในหลายเรื่อง เนื่องจากมาคิดได้ก็สายไปเสียแล้ว วิธีการสร้างแรงจูงใจจากเรื่องราวในอนาคตเป็นการซ้อมคิดหาคำว่าเสียดายที่ อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต แล้วนำเอาความรู้สึกเสียดายนั้นๆมาใช้ในการสร้างแรงจูงใจ ตัวอย่างเทคนิคการสร้างแรงจูงใจจากเรื่องราวในอนาคต...<br />
<br />
<br />
* ใครเบื่อพ่อเม่ ขอให้นึกถึงวันสุดท้ายที่ท่านจากเราไป<br />
* ใครเบื่องาน ขอให้นึกถึงวันที่เขาจะให้เราออกจากงานหรือวันที่เราจะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง<br />
* ใครเบื่อสามีหรือภรรยา ให้นึกถึงวันที่เขาจากเราไป<br />
* ใครเบื่อลูกให้นึกถึงวันที่ลูกประสบความสำเร็จ<br />
* ใครเบื่อคนรอบข้างให้นึกถึงวันที่คนเหล่านั้นมาร่วมแสดงความยินดีกับความสำเร็จของเรา<br />
* ใครเบื่อตัวเอง ให้นึกถึงวันที่เราจะประสบความสำเร็จ<br />
<br />
สรุป แรงจูงใจไม่ต้องไปซื้อหาหรือหยิบยืมใครที่ไหน มันอยู่ในตัวของเราอยู่แล้ว เพียงแต่เราจะมีเทคนิควิธีการในการดึงมันขึ้นมาใช้ได้อย่างไร สำหรับเทคนิคที่ผมแนะนำไปนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ผู้อ่านหลายท่านอาจจะมีเทคนิคเฉพาะของตัวเองอีกหลายวิธี ขอให้ลองฝึกดึงพลังภายในโดยการสร้างกำลังใจให้กับตัวเองบ่อยๆ รับรองได้ว่าชีวิตนี้ไม่มีวันหมด "กำลังใจ" อย่างแน่นอนครับso.pncchttp://www.blogger.com/profile/12918364098107477979noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1692319392341407053.post-21117208358850716312010-01-10T21:45:00.000+07:002010-01-10T21:45:16.545+07:00แนวทางในการสร้างแรงจูงใจ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj7mw4pk7YDTsv3hDLst4HtdP4yCvpsjaVN4kfSVWCKMq8peBBY4PX8jmdmjSXRaMR3Xe5q_18paV2M8E1qD7pRFnU3s8MEWehdtR0fqHboYW-CfQXA0i0ZfsHKTYXl3Iva1HK8ly558ds/s1600-h/v302+copy.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" ps="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj7mw4pk7YDTsv3hDLst4HtdP4yCvpsjaVN4kfSVWCKMq8peBBY4PX8jmdmjSXRaMR3Xe5q_18paV2M8E1qD7pRFnU3s8MEWehdtR0fqHboYW-CfQXA0i0ZfsHKTYXl3Iva1HK8ly558ds/s320/v302+copy.jpg" /></a><br />
</div>ในการสร้างแรงจูงใจให้แก่พนักงาน ผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้างานจะต้องเลือกวิธีการจูงใจ ให้เหมาะสมกับสภาพงาน และตัวบุคคลผู้ปฏิบัติงาน เพราะองค์กรแต่ละแห่ง ย่อมมีวิธีการ ปฏิบัติงานที่แตกต่างกัน ได้มีการจำแนกแนวทางใน การจูงใจในการปฏิบัติงานไว้หลายวิธี (สมพงษ์ เกษมสิน, 2516 อ้างในวิเชียร ศรีพฤกษ์, 2546) ดังนี้ <br />
<a name='more'></a>การดำเนินการอย่างเด็ดขาด (Be strong) การจูงใจโดยวิธีนี้มุ่งบังคับให้บุคคล ปฏิบัติงานและหากไม่ปฏิบัติตาม ก็ให้ไล่ออกไป วิธีการนี้ มีแนวคิดที่มุ่งยึดถือบุคคลเสมือนวัตถุ คนที่เข้ามาปฏิบัติงานเป็นเสมือน ผู้ขายแรงงาน ซึ่งองค์กร จำต้องใช้แรงงานให้คุ้มค่า และองค์กรมี ความนึกคิดว่า การที่บุคคลเข้ามาปฏิบัติงานและได้ค่าจ้างตอบแทนแล้วนั้น เป็นการ สนองความ ต้องการของคนงานแล้ว ดังนั้น บุคคลเหล่านั้นอาจไม่ปฏิบัติงานโดยเต็มกำลังความสามารถ เหตุว่า ความต้องการ ของเขา ได้รับการสนองตอบแล้ว ดังนั้น องค์การจึงต้องเข้มงวดกวดขัน การปฏิบัติงาน การขู่เข็ญ และการลงโทษ อย่างรุนแรง เป็นเครื่องมือจูงใจอันสำคัญตามวิธีการนี้<br />
<br />
การดำเนินการอย่างละมุนละม่อม (Be good) การจูงใจโดยวิธีนี้มุ่งที่จะสร้าง ความสัมพันธ์อันดี ระหว่างองค์กรกับผู้ปฏิบัติงานหรือระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อให้เกิด ความร่วมมือร่วมใจกัน องค์กรพยายามสนองความต้องการพื้นฐานของผู้ปฏิบัติงาน และองค์ประกอบ ในการปฏิบัติงานอื่น ๆ เท่าที่ควรจะจัดให้ได้ เช่น การจัดสภาพการปฏิบัติงานที่ดี การจัดสวัสดิการ และประโยชน์เกื้อกูลต่าง ๆ ให้แก่คนงาน เพื่อจะได้มีกำลังใจ และกำลังขวัญในการปฏิบัติงานดีขึ้น อันจะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานขององค์กร<br />
<br />
การดำเนินการแบบต่อรอง (Implicit bargaining motivation) การจูงใจโดยวิธีนี้ มุ่งที่จะสร้างความเข้าใจอันดี ระหว่างองค์กรกับผู้ปฏิบัติงาน หรือระหว่างผู้บังคับบัญชา เช่น การจัดหาอุปกรณ์การปฏิบัติงาน การจัดสภาพการปฏิบัติงานที่ดี การกำหนดอัตราค่าจ้าง และชั่วโมง การทำงานร่วมกัน โดยการต่อรองบนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง และความสามารถที่ พึงปฏิบัติได้ ซึ่งจะสร้างความพึงพอใจและจูงใจ ให้ผู้ปฏิบัติได้อุทิศแรงกายและแรงใจ ให้แก่งานอย่างเต็มที่ ลักษณะการจูงใจ แบบต่อรองนี้ ยังรวมถึงการควบคุมการปฏิบัติงานของคนงานด้วย เช่น องค์กร อาจกำหนดมาตรฐาน และชั่วโมงการ ปฏิบัติงานไว้ หากคนงานปฏิบัติงานได้สำเร็จตามเป้าหมาย ถูกต้องตามมาตรฐาน ก็จะผ่อนคลายการควบคุม หรือให้ควบคุม กันเองก็ได้<br />
<br />
การดำเนินการโดยการแข่งขัน (Competition motivation) การจูงใจโดยวิธีนี้มี ลักษณะเป็นแบบปฏิฐาน (Positive motivation) องค์กรหรือหัวหน้างานจะต้องกำหนดวิธีการ วัดผลไว้ และแจ้งให้ผู้ร่วมงานทราบถึงวิธี การวัดและผล ที่จะมอบ ให้เมื่อปฏิบัติงานได้ผลดี เช่น การจูงใจ ด้วยการให้เลื่อนเงินเดือนเป็นกรณีพิเศษ การเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง ฯลฯ เป็นต้น การจูงใจ ในลักษณะนี้ นอกจากจะสามารถทำได้เป็นรายบุคคลแล้ว ยังอาจนำไปใช้ในการจูงใจเป็น กลุ่มได้อีก ด้วย เช่น จัดให้มีการแข่งขันการปฏิบัติงานเป็นกลุ่ม ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้เกิดสามัคคี ธรรมในกลุ่ม และเกิดการ แข่งขัน ในการปฏิบัติงานระหว่างกลุ่ม อย่างไรก็ดี นักบริหารจะต้อง ระมัดระวังเกี่ยวกับ ข้อขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น ระหว่างกลุ่ม และหาทางป้องกันไว้ด้วย<br />
<br />
การดำเนินการแบบให้จูงใจตนเอง (Internalized motivation) การจูงใจโดยวิธีนี้มี จุดมุ่งหมาย ที่จะสร้างความพึงพอใจ ในการปฏิบัติงานให้แก่บรรดาพนักงานเอง โดยจูงใจให้เกิด ความรู้สึกเป็น เจ้าของและมีส่วนร่วมรับผิดชอบร่วมกัน พยายามสร้างสรรค์ให้เกิดความร่วมจิต (Collective mind) และร่วมมือ (Cooperation) ในบรรดาผู้ปฏิบัติงาน สร้างท่าที ในการเป็นพวก พ้องเดียวกัน (Sense of belonging) ขึ้นในกลุ่มของคนงาน การนำวิธีให้บรรดา ผู้ร่วมงานได้มี ส่วนร่วม (Participation) ในการปฏิบัติงาน การกำหนดวัตถุประสงค์ เกณฑ์ควบคุมงาน ตลอดจนการ มีสิทธิ์มีเสียงต่าง ๆ จะช่วยให้เ กิดความรัก และหวงแหนในงาน และองค์กรของตนขึ้น อันจะเป็นผล ทำให้คนงานมีสัมพันธ์อันดีต่อองค์กร และหน่วยงาน การจูงใจโดยวิธีนี้ หากสร้างสรรค์ให้มีขึ้นได้ จะให้ความก้าวหน้า อันจีรังแก่องค์กรเป็นอันมาก นอกจากนี้ ในการสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงาน ผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้างานควรที่จะ รู้จัก Motive Profile ของพนักงานด้วย ซึ่ง Motive Profile ของพนักงานแต่ละคนนี้ จะต้องผ่าน การวิเคราะห์โดยนักจิตวิทยา โดยใช้วิธีการและเครื่องมือเกี่ยวกับ การวิเคราะห์พฤติกรรมของคน แต่สำหรับผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้างาน ที่ได้รับการฝึกฝนและมีประสบการณ์สูง ก็จะสามารถ วิเคราะห์ Motive Profile ของพนักงานได้โดยการใช้การสังเกตอย่างใกล้ชิด Motive Profile สามารถจำแนกออกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่<br />
<br />
Achievement Motive คือความสุขที่เกิดจากการได้ทำในสิ่งที่ดีกว่าที่คนอื่นได้เคยทำ มาแล้วหรือดีกว่ามาตรฐาน ของความเป็นเลิศ (Standard of Excellence) หรือได้เติบโตไปในสาย อาชีพได้เร็วกว่าคนอื่นเป็นต้น สำหรับคนที่มี Achievement Motive สูงๆ ต้องกระตุ้นด้วยการให้ งานที่ท้าทายขึ้นอยู่เสมอ และพยายามสนับสนุน ให้มีโอกาสได้ทำงาน ผลงานที่ดียิ่งๆขึ้นไป <br />
<br />
Affiliation Motive คือ ความสุขอันเนื่องมาจากการได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม หรือการ พยายามที่จะสร้างสัมพันธภาพ ระยะยาว กับคนและให้ความสำคัญกับความเป็นเพื่อนอย่างมาก สามารถสร้างแรงจูงใจ ได้โดยการให้งานที่เปิดโอกาส ให้ได้สัมพันธภาพหรือมีการปฏิสัมพันธ์กับ ผู้คน ในลักษณะที่เป็นพันธมิตรในระยะยาว หรือให้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคน โดยไม่ได้ถูกให้ ทอดทิ้งให้ทำงานคนเดียว <br />
<br />
Power Motive คือความสุขที่เกิดจากการให้ผู้คนชื่นชมในตัวเขา รวมถึงการมีโอกาสได้ โน้มน้าวจูงใจ ผู้อื่นให้ทำใน สิ่งที่เขาต้องการให้ทำ และมีโอกาสได้ช่วยเหลือสังคมด้วยความสมัคร ใจ สามารถจูงใจพนักงานที่มีลักษณะนี้ ด้วยการให้งาน ที่มีอำนาจสั่งการในตำแหน่งที่ได้รับการ ยอมรับ เป็นที่นับหน้าถือตาของคนทั่วไปso.pncchttp://www.blogger.com/profile/12918364098107477979noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1692319392341407053.post-18182487520746096462010-01-10T21:43:00.000+07:002010-01-10T21:43:14.192+07:00การสร้างแรงจูงใจ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjxe4v6RmKCcjXyE8TAEouA43oX6fNXapG6VLK449kvJBDSlrHp1lAe-8viAWypX2njL6uz6yYj5G5tuvpw0tO0xgt4mY-7hsc10pfpnxOjKNKB5jT6uNwULI6h0nXQIzP3O7B-QLNnxEA/s1600-h/1247740301+copy.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" ps="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjxe4v6RmKCcjXyE8TAEouA43oX6fNXapG6VLK449kvJBDSlrHp1lAe-8viAWypX2njL6uz6yYj5G5tuvpw0tO0xgt4mY-7hsc10pfpnxOjKNKB5jT6uNwULI6h0nXQIzP3O7B-QLNnxEA/s320/1247740301+copy.jpg" /></a><br />
</div>แรงจูงใจ คือแรงขับหรือสิ่งกระตุ้นให้บุคคลมุ่งแสดงพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อตอบสนองความต้องการหรือจุดมุ่งหมายที่ต้องการ แรงจูงใจสร้างขึ้นมาได้ทั้งจากปัจจัยเชิงบวกและเชิงลบ ได้แก่ <br />
<a name='more'></a><br />
1. การแข่งขันและการร่วมมือ<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
2. การชมเชยและการตำหนิ<br />
<br />
3. การให้รางวัลและการลงโทษ<br />
<br />
แนวความคิดในเรื่องแรงจูงใจเพิ่งได้รับการนำมา<br />
พิจารณาหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมหรือเมื่อประมาณ 200 ปีมานี้เองโดยเริ่มจาก Frederick Taylor ซึ่งมองว่าคนงานมีแรงจูงใจเพียงสองประการ คือ เงิน และความกลัวที่จะถูกไล่ออกจากงาน จึงควรจ่ายค่าจ้างตามชิ้นงานหรือใช้กฎระเบียบควบคุมอย่างเข้มงวดเพื่อสร้างความหวาดกลัว แนวคิดของ Taylor ถูกหักล้างอย่างรุนแรงด้วยแนวคิดของ Elton Mayo ที่ว่า หากคนงานรับรู้ได้ว่าเขาได้รับการเอาใจใส่และให้โอกาสเขามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ จะเป็นรงจูงใจอันยิ่งใหญ่ที่สามารถเพิ่มผลผลิตได้โดยไม่ต้องใช้เงินเพิ่ม หลังจากนั้นก็มีแนวคิดเรื่องแรงจูงใจของนักคิดอีกหลายท่าน แต่สำหรับผมให้ความสำคัญกับแนวคิดของ Frederick Herzberg ในเรื่องทฤษฏีสองปัจจัยซึ่ง Herzberg ให้ความเห็นว่าแรงกระตุ้นมีสองแหล่ง คือ แรงกระตุ้นจากภายนอก กับ แรงกระตุ้นจากภายใน<br />
<br />
แรงกระตุ้นจากภายนอก เป็นแรงกระตุ้นในทางลบ หมายถึงคนงานมีความไม่พอใจต่อแรงกระตุ้นนี้มากกว่าความพอใจ ถ้าองค์กรเน้นการส่งเสริมแรงกระตุ้นประเภทนี้ก็จะมีผลต่อการสร้างแรงจูงใจได้ไม่มากนักและไม่ยั่งยืน แรงกระตุ้นจากภายนอกที่ว่านี้เรียงตามลำดับความไม่พอใจจากมากไปหาน้อย ได้แก่ นโยบายและระเบียบขององค์กร ระบบการบังคับบัญชา ความสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชา สภาพแวดล้อมในการทำงาน เงินเดือน ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานความสัมพันธ์กับลูกน้อง สถานภาพทางสังคม ความมั่นคงในหน้าที่การงาน<br />
<br />
แรงกระตุ้นจากภายใน เป็นแรงกระตุ้นในเชิงบวก นั้นคือคนงานจะมีความพอใจต่อแรงจูงใจนี้มากกว่าความไม่พอใจ และส่งผลเป็นแรงจูงใจที่มากกว่าและยั่งยืนกว่าแรงจูงใจจากภายนอก แรงจูงใจจากภายในเรียงตามลำดับความพอใจจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ความสำเร็จของงาน การได้รับการยอมรับ ความมีอิสระในการทำงาน ความรับผิดชอบต่องาน และความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน<br />
<br />
ขวัญและกำลังใจในการทำงาน เป็นอีกส่วนหนึ่งของแรงจูงใจที่องค์กรควรสร้างให้เกิดขึ้นแก่ผู้ปฏิบัติงาน ขวัญกำลังใจมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับเป้าหมายของงาน กล่าวคือ คนงานจะมีขวัญกำลังใจในการทำงานมากขึ้นถ้าเป้าหมายของงานที่เขาจะต้องทำนั้นมีความชัดเจน จำเพาะเจาะจง ท้าทาย ทำให้สำเร็จได้ มีรางวัลที่เหมาะสมหากทำได้สำเร็จ และมีความมั่นใจว่าระบบการพิจารณารางวัลนั้นมีความเสมอภาคและมีความเป็นธรรม นอกจากนั้น การได้รับข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับงานที่ทำ การได้มีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมายหรือกิจกรรมที่ทำ ก็เป็นสิ่งที่มีผลต่อการสร้างแรงจูงใจทั้งสิ้นso.pncchttp://www.blogger.com/profile/12918364098107477979noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1692319392341407053.post-89205614347040119692009-12-26T16:18:00.000+07:002009-12-26T16:18:03.538+07:00ดูดี...ทำได้ไม่ต้องเดี๋ยว<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi0wokJowqN-MCeDAKW50AiSLIbhIup7atWnnSi2KVvtHklBWVJIDjfbE1KbaooR5salT4x6QkcBP-_OfXIfene9zoliE_yU0KDg_0npdvvFjDoeDDFx4wl-K5jYRCsOkemiCp1wwEqOLI/s1600-h/20091218411.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" ps="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi0wokJowqN-MCeDAKW50AiSLIbhIup7atWnnSi2KVvtHklBWVJIDjfbE1KbaooR5salT4x6QkcBP-_OfXIfene9zoliE_yU0KDg_0npdvvFjDoeDDFx4wl-K5jYRCsOkemiCp1wwEqOLI/s400/20091218411.jpg" /></a><br />
</div>หลายคนอาจยังไม่เห็นคุณค่าของการพัฒนาบุคลิกภาพ ... <br />
ต่อไปนี้เป็นคำถามที่จะช่วยทำให้เข้าใจ และเห็นได้ว่าบุคลิกภาพมีประโยชน์ต่อการพัฒนาความน่ามอง ความดูดี และความมีราคาของคนทุกคน ช่วยให้เป็นคนที่น่าคบ มีประสิทธิภาพ และมีความสุข ซึ่งทุกคนสามารถลงมือทำได้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องผัดผ่อน แล้วความดูดีจะปรากฏขึ้นในบัดดล <br />
<br />
<span style="color: #38761d;"><a name='more'></a>บุคลิกภาพสำคัญอย่างไร<br />
บุคลิกภาพเป็นสิ่งที่ทำให้มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว เป็นวิถีแทนความคิดและการกระทำ สามารถสร้างความรู้สึกต่อผู้พบเห็นว่าชอบหรือไม่ชอบ หรือเกิดความรู้สึกต่อคนคนนั้นอย่างไร ทำให้คนเกิดความรู้สึกทางใจ หรืออารมณ์ โดยไม่ต้องใช้ความคิด สติปัญญา หรือการตัดสินใจที่ต้องใช้เหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น บุคลิกภาพที่ดีจึงเป็นทั้งเสน่ห์และอำนาจ และเป็นที่ชื่นชอบของคนโดยทั่วไป ทำให้สามารถติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่นๆ ได้อย่างราบรื่น <br />
<br />
<span style="color: #38761d;">บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงได้ไหม</span> <br />
บุคลิกภาพเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงและพัฒนาได้เสมอ ยิ่งในยุคโลกาภิวัตน์ที่ทุกคนต้องเข้าสู่สังคมโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การปรับบุคลิกภาพให้ได้มาตรฐานสากลจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ดังนั้นทำอย่างไรเราจึงจะเป็นบุคคลที่เป็นที่น่าเชื่อถือ ไว้วางใจ สง่างาม สดใส ทันสมัย และดูจริงใจ ก่อนอื่นเราต้องตระหนักว่าทุกสิ่งที่เราต้องการข้างต้นนั้นต้องเริ่มมาจากภายใน นั่นคือ ความคิด เมื่อคิดแล้วก็จะเกิดการแสดงออกผ่านทางภาพลักษณ์และน้ำเสียงที่ดี จนถ่ายทอดเป็นการกระทำที่ประทับใจ ต้องท่องไว้เสมอว่า ฉันจะเติมแต่งชีวิตให้มีความสุขทุกวัน <br />
<br />
<span style="color: #38761d;">เคล็ดลับในการสร้างความน่าเชื่อถือ</span> <br />
ต้องมาจากภาพลักษณ์ คือ เสื้อผ้าหน้าผมที่ดี ของใช้ที่เหมาะสม ภูมิฐาน ตลอดจนกิริยาในแต่ละอิริยาบถ ท่านั่ง ท่าเดิน ท่ายืน การไหว้ที่ดูดี ซึ่งจะเป็นดั่งเกราะที่ดึงดูดใจผู้พบเห็น นั่นคือมีมาดที่ดี เมื่อมาดดีย่อมทำให้เกิดความสง่างาม รู้สึกน่าไว้วางใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีความสดใสด้วยสีหน้าที่มีชีวิตชีวา เทคนิคคือให้คิดว่าบนหน้าผากของคนที่เราพูดคุยด้วยมีคำว่า “ช่วยทำให้ฉันเป็นคนพิเศษหน่อยสิ” ติดอยู่ <br />
<br />
ส่วนเรื่องทันสมัยนั้น หมายถึง เราต้องเป็นคนทันโลก ทันเหตุการณ์ มีเรื่องราวเชิงบวกในการสนทนา ปัจจุบันใน 1 วัน หนึ่งในสี่ของระบบความคิดของคนจะคิดแต่เรื่องลบ เพราะฉะนั้นต้องสรรหาเรื่องที่น่าสนใจและสร้างสรรค์มาเป็นหัวข้อการพูดคุย ตลอดจนการแต่งกายก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนลุค เช่น อย่าไว้ผมทรงเดิมตลอด อย่าแต่งชุดโทนสีเดิมตลอด เป็นต้น <br />
<br />
<span style="color: #38761d;">เราจะสื่อสารความจริงใจให้คนอื่นรู้ได้อย่างไร</span> <br />
สามารถแสดงออกผ่านการพูดที่ให้เกียรติ ใช้สรรพนามและคำลงท้ายที่สุภาพ อ่อนหวานโดยต้องใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยน ท้ายประโยคมีการทอดเสียงไม่กระชาก ห้วน หรือเสียงแข็ง อีกทั้งไม่ควรพูดแบบอวดรู้ เช่น อยากจะแนะนำอะไรสักอย่างก็ให้ใช้คำว่าขออนุญาตให้ข้อมูลเพิ่มเติมแทน เป็นต้น พร้อมใช้สายตาหรือ Eye Contact โดยแนะนำให้มองตาข้างใดข้างหนึ่งของคู่สนทนา เพื่อแสดงความใส่ใจและทำให้สายตาดูอ่อนลงไม่เป็นการจ้องหน้ามากเกินไป อีกเรื่องที่สำคัญคือระยะห่าง ไม่ควรเข้าไปใกล้เกิน 1 ช่วงแขนในกรณีที่ไม่สนิท เพราะระยะนั้นเป็นระยะพื้นที่ส่วนตัว ถ้าจำเป็นให้ขออนุญาตด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ <br />
<br />
<span style="color: #38761d;">มีองค์ประกอบอะไรบ้างที่เราต้องสร้างและพัฒนา ขอแนะนำสัก 7 ประการนะคะ</span> <br />
<br />
1.ความคิด : เป็นรากฐานสำคัญของความเป็นคนคนหนึ่ง บุคลิกภาพงอกงามออกมาจากความคิดค่ะ เช่น คิดว่าจะอยู่แบบพอเพียงเรียบง่าย เขาก็จะแสดงออกผ่านการแต่งกาย การซื้อข้าวซื้อของ เครื่องประดับ บ้านช่องห้องหับ และวิถีชีวิตแบบพอเพียง แต่ถ้าคิดอยากเด่นอยากดัง ก็จะต้องแต่งเนื้อแต่งตัวอีกแบบหนึ่ง พาตัวเองไปอยู่ในวงสังคมอีกแบบหนึ่ง ใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่ง ซึ่งต้องชัดเจนในตัวเองเสียก่อน ว่าเรามีความคิดแบบใด คำแนะนำของดิฉันก็คือ “นกน้อยทำรังแต่พอตัว” จึงต้องมองเห็นตัวเองแล้วกำหนดความคิดว่า เราควรจะมีชีวิตและดำเนินชีวิตแบบใด <br />
<br />
2.เสื้อผ้า : ก่อนที่เสื้อผ้าจะช่วยเสริมความดูดี คนคนนั้นต้องมีรูปร่างที่ดีเสียก่อน ดังนั้นต้องดูแลรูปร่างให้กระชับ สมส่วน จากนั้นจึงหาเสื้อผ้าที่ส่งเสริมรูปร่างและผิวพรรณมาสวมใส่ ช่วยให้ดูสดใส สวยงามสมวัย แม้รูปร่างไม่เพอร์เฟกต์ แต่เสื้อผ้าก็ช่วยลดจุดด้อยในตัวได้ เช่น ปิดบังสะโพกที่ใหญ่เกินไป แก้ไขเรื่องเอวที่ไม่มี ก้นที่แบน ขาที่ใหญ่ แขนที่อวบ คอที่สั้นหรือยาว ฯลฯ โดยเลือกแบบและลวดลายที่เหมาะสม คือไม่เน้นส่วนด้อยให้ยิ่งโดดเด่น เช่น ไม่สวมกางเกงหรือกระโปรงรัดรูปจนบั้นท้ายมหึมายิ่งตำตาผู้คน ไม่สวมกางเกงหรือกระโปรงสั้น จนขาติดมันของคุณเป็นที่หัวเราะ <br />
<br />
3.ทรงผม : เลือกทรงผมที่ส่งเสริมความโดดเด่นของใบหน้า และแก้ปัญหาส่วนด้อยไปด้วย เช่น หน้าผากกว้าง กรามใหญ่ ตาเล็ก คางสั้น ฯลฯ ขณะเดียวกันทรงผมก็ควรทันสมัย เสริมบุคลิกให้โดดเด่น น่ามอง และน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น <br />
<br />
4.เครื่องประดับ : อย่าให้รกรุงรัง จนดูเหมือนหุ่นตั้งเครื่องประดับในร้าน เลือกเครื่องประดับที่ทันสมัย แบบจะหวือหวาหรือเรียบง่ายก็ดูจากชุดที่สวมใส่ สถานที่ และงานที่เรากำลังจะไป <br />
<br />
5.รอยยิ้ม : เป็นเสน่ห์ที่ไม่ต้องลงทุนซื้อหา ใครที่มีรอยยิ้มประดับใบหน้า บ่งบอกว่ามีความเป็นมิตร เป็นคนอารมณ์แจ่มใส ผิดกับคนหน้าตาบูดบึ้งหรือเฉยชา ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ เพราะไม่ชวนให้รู้สึกวางใจหรือประทับใจ จึงไม่อยากคบค้าหรือติดต่อประสานงานด้วย <br />
<br />
6.คำพูด : พูดจาด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร เต็มใจพูด แจ่มใส จะทำให้คนที่เราพูดด้วยรู้สึกดี และสะท้อนความดูดีของตัวเราเอง ทุกครั้งที่พูดจงเต็มใจพูด พูดให้ไพเราะ สุภาพ น่าฟัง มีสาระ ใช้ถ้อยคำที่เข้าใจง่าย และให้เกียรติแก่ผู้ฟังด้วย <br />
<br />
7.จิตใจ : จิตใจที่ดีจะเป็นความดูดีที่ถาวรและเป็นเสน่ห์ที่ยั่งยืนมาก เราทุกคนอยากรู้จักคบหากับคนที่จิตใจดี จิตใจที่ดีต้องมองโลกในแง่ดี มองคนในแง่ดี และมีทัศนคติที่ดีต่อชีวิต มีความหวัง รู้จักให้ รู้จักแบ่งปัน มีคุณธรรมนำทาง ไม่ออกนอกลู่นอกทาง ไม่เอารัดเอาเปรียบใคร ไม่ให้ร้าย และไม่คิดร้ายกับใครทั้งสิ้น<br />
<br />
<br />
ข้อมูล Post Today<br />
</span>so.pncchttp://www.blogger.com/profile/12918364098107477979noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1692319392341407053.post-83766247820110261162009-12-26T16:14:00.001+07:002009-12-26T16:14:57.684+07:00มุ่งที่จุดแข็งของคนไทย<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjdnjqRogc1XH12WD_ufErt0MrqqRpwhfphbzaxwaauytNuZwO7qiMSL41GpPu5sU7tcUaDVzNQW0SqCc6EsVFV6S6TyPL8plcDaZL44UYdm1afwgAd4wj8oG2AmayKqaYOMcezqHSVmFM/s1600-h/jiksor+copy.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" ps="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjdnjqRogc1XH12WD_ufErt0MrqqRpwhfphbzaxwaauytNuZwO7qiMSL41GpPu5sU7tcUaDVzNQW0SqCc6EsVFV6S6TyPL8plcDaZL44UYdm1afwgAd4wj8oG2AmayKqaYOMcezqHSVmFM/s200/jiksor+copy.jpg" /></a><br />
</div>Post Today - คริสติน กรอทัส มาจากเยอรมนีเพื่อศึกษาเกี่ยวกับแผนงานของที่ปรึกษาด้านทรัพยากรมนุษย์ที่ต้องการเจาะตลาดเมืองไทย ... เธอขอสัมภาษณ์ผมเกี่ยวกับการทำงานต่างวัฒนธรรม ผมเลยเชิญเธอมาเข้าสัมมนาของ ชองฟรองซัว ซึ่งเพิ่งทำการวิจัยแนวทางการทำงานของคนต่างชาติและคนไทย เขาเสนองานวิจัยของเขาในการสัมมนาที่ไฮแอท เอราวัณ เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา ท่านสามารถดาวน์โหลดได้ที่ www.1-2win.net หลังสัมมนาผมและคริสตินคุยกัน <br />
<br />
<span style="color: #6aa84f;"></span><br />
<a name='more'></a>“คริสตินคุณบอกว่าเราน่าจะมุ่งความสนใจไปที่จุดแข็งของคนไทย แทนที่คิดจะเปลี่ยนคนไทยให้เข้ากับวัฒนธรรมการทำงานตะวันตก ขยายความหน่อยครับ” <br />
<br />
“คุณเกรียงศักดิ์ ค่านิยมดีๆ ของไทยหลายข้อ เช่น ความเกรงใจ มักถูกมองจากชาวตะวันตกว่าเป็นอุปสรรคทำให้งานช้า ดิฉันกลับมองตรงกันข้าม ดิฉันมองว่าค่านิยมมีส่วนดีอยู่ เราอาจจะไม่จำเป็นต้องระดมความคิดโดยการแสดงออกอย่างเปิดเผยถกเถียงกันหน้าดำหน้าแดง คนไทยอาจจะระดมความคิดเห็นแบบสุภาพเรียบร้อย อาจจะผสมการเขียนความเห็นแทนที่จะพูดออกไปอย่างเดียว ในวัฒนธรรมที่คำนึงถึงความสุภาพอ่อนน้อมแบบไทยนั้น ระดมความคิดแบบก้าวร้าวอาจจะไม่เวิร์ก คนไทยมีจุดแข็งเรื่องความสนุก ความอยากรู้อยากเห็น ความยืดหยุ่น และมีอารมณ์ละเอียดอ่อน สิ่งเหล่านี้คือรากฐานของความคิดสร้างสรรค์มิใช่หรือคะ <br />
<br />
เราอาจจะระดมความคิดด้วยการเขียนหรือการวาดภาพบ้าง ใช้ความคิดสร้างสรรค์ผสมความสนุกสร้างความคิดใหม่ๆ มีโอกาสมากมายสำหรับให้คนไทยได้แสดงออก” <br />
<br />
“น่าสนใจครับ หลายบริษัทข้ามชาติพยายามที่จะนำแนวทางการจัดการจากบริษัทแม่มาใช้เพื่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด การพูดคุยแบบเปิดเผยตรงไปตรงมาไม่น่าจะมีอะไรเสียหายนี่ครับ” <br />
<br />
“ดิฉันคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน การที่เราพยายามเปลี่ยนค่านิยมของคนไทยให้เข้ากับค่านิยมองค์กรของตะวันตกนั้น คนไทยอาจจะเสียอัตลักษณ์ของตนเองไปก็ได้” <br />
<br />
“คริสติน ผมว่าในระยะยาวแล้วผู้แข็งแรงจะอยู่รอด ใครที่สร้างประสิทธิผลในงานได้ดีที่สุดก็จะชนะในการแข่งขัน ตามที่ ชาร์ล ดาร์วินส์ บอกไว้ในกฎของการอยู่รอดใช่ไหมครับ” <br />
<br />
“ก็จริงค่ะ ดาร์วินส์ พูดถึงวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตอย่างนั้น นั่นคือสาเหตุว่าทำไมยีราฟถึงมีคอยาวเพื่ออยู่รอดโดยการกินใบไม้จากต้นไม้ที่ลำต้นสูง แต่ว่าในโลกทุกวันนี้ไม่ใช่ว่าแข็งแรง เสียงดัง โน้มน้าวคนเก่ง จะอยู่รอด แต่ว่าต้องสร้างสรรค์ มีนวัตกรรม และปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดีด้วย เราปรับตัวโดยการคิดหาบันไดปีนขึ้นต้นไม้ เราปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่นเพื่ออยู่รอด แต่ละท้องถิ่นมีต้นไม้ต่างกัน เมืองไทยมีสวน เมืองนอกมีป่า” <br />
<br />
“อืมม์...น่าสนใจ แล้วคนไทยแบบพวกผมละครับ ที่ทำงานจนคุ้นเคยกับวัฒนธรรมการทำงานของชาวตะวันตกมาตลอดชีวิต” <br />
<br />
“ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ค่ะ ในแต่ละประเทศก็มีวัฒนธรรมย่อยลงไปอีก ดิฉันมีเรื่องเล่าที่น่าสนใจค่ะ <br />
<br />
มีบริษัทข้ามชาติแห่งหนึ่งในประเทศไทยจัดสัมมนาเกี่ยวกับการทำงานเป็นทีม เขามอบหมายให้ทีมคนไทย และทีมคนญี่ปุ่นวางแผนการไปเที่ยวที่อยุธยา ทั้งสองทีมต้องระดมความคิดและจัดทำแผนงานขึ้นมาเสนอ ทั้งสองทีมถูกแบ่งให้ไปทำงานคนละห้องกัน ผ่านไป 10 นาที ทีมคนไทยก็กลับเข้ามาเสนอแผนงานเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ทีมญี่ปุ่นใช้เวลาเป็นชั่วโมง เมื่อวิทยากรถามทีมคนไทยว่าทำไมจึงใช้เวลาน้อย พวกเขาตอบว่า เราไม่ได้คิดอะไรมากมายครับ เราก็ไปที่จุดนัดพบก่อนตารางนัดหมายสองสามชั่วโมง แล้วกินข้าวกลางวันกัน เสร็จแล้วก็ออกเดินทางไปแล้วก็กลับ <br />
<br />
ในขณะที่ทีมญี่ปุ่นศึกษาเส้นทางเดินทางน้ำทุกเส้นทางว่าเส้นทางใดมีประสิทธิภาพสูงสุด ความเชี่ยวของกระแสน้ำในแต่ละสายเป็นอย่างไร และถกเถียงกันเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด <br />
<br />
ทั้งสองทีมมีวิธีการคิดและมีจุดเด่นที่ไม่เหมือนกัน เราต้องใช้จุดแข็งของแต่ละคนและแต่ละทีม พวกที่ไปก่อนและรับประทานอาหารกลางวันกันนั้น เขาอาจจะเหมาะกับงานที่ต้องใช้ความใจเย็นและยืดหยุ่น กลุ่มที่ลงรายละเอียดและวิเคราะห์เจาะลึกอาจจะเหมาะกับงานอีกแบบ” <br />
<br />
“คริสตินหากเคสนี้ผมอาจจะเป็นแบบกลุ่มชาวญี่ปุ่น แล้วคุณล่ะ” <br />
<br />
“ดิฉันอาจจะเป็นไทยในตอนกินข้าวกลางวัน ตอนเขียนรายงานฉันอาจจะเป็นอเมริกัน และคุยกับคุณตอนนี้ฉันอาจจะวิพากษ์แบบเยอรมันก็ได้ค่ะ”<br />
<br />
ข้อมูลโดย : Post Todayso.pncchttp://www.blogger.com/profile/12918364098107477979noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1692319392341407053.post-53449975571159706282009-12-26T16:08:00.001+07:002009-12-26T16:10:04.109+07:00ภาวะผู้นำ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjHU6dtcKqREcNd23xtvi8oc4CtAbXIzK-047s2Tu6ZDHP7icP0A8CmB805-zUmjkF2mvmjhVD-TKjyR0Xu6YDXKy7ap0lhurE9e608Y6sxi-OHSQ_GixlADz2AlbzX3AQg-0P4AIFChm4/s1600-h/meeting+copy.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" ps="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjHU6dtcKqREcNd23xtvi8oc4CtAbXIzK-047s2Tu6ZDHP7icP0A8CmB805-zUmjkF2mvmjhVD-TKjyR0Xu6YDXKy7ap0lhurE9e608Y6sxi-OHSQ_GixlADz2AlbzX3AQg-0P4AIFChm4/s200/meeting+copy.jpg" /></a><br />
</div>ปัจจุบันองค์กรที่มีการจัดการที่ดีทั้งหลายต่างต้องการบุคลากรที่มีความเป็นผู้นำที่เก่งและมีประสิทธิภาพ มีความมุ่งมั่นในการทำงาน มีความสามารถในการสื่อสารทั้งภายในและระหว่างองค์กร ในขณะเดียวกันสามารถสร้างความสัมพันธ์เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมจากใจ (Participative Cooperation) เพื่อนำองค์กรไป<br />
<a name='more'></a>สู่ความก้าวหน้าและลดปัญหาความขัดแย้งในการประสานงานกับบุคคลรอบข้าง ดังนั้นผู้นำสมัยใหม่จะประสบความสำเร็จได้ต้องหมั่นศึกษาหาความรู้ให้ทันต่อสภาวะการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมที่รุมเร้าอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นผู้นำที่มีประสิทธิภาพต้องสามารถทำให้ผู้ร่วมงานทำงานได้อย่างมีคุณภาพและเต็มความสามารถ <br />
คำว่า “LEADERS” ในความหมายของแต่ละท่านคงมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป ซึ่งดิฉันขอสรุปคุณสมบัติในการเป็นผู้นำในยุคโลกาภิวัฒน์ ดังนี้<br />
<br />
๏ L = Listening & Learning <br />
๏ E = Ethic <br />
๏ A = Ability <br />
๏ D = Dominance <br />
๏ E = Employee-center <br />
๏ R = Reinforcement <br />
๏ S = Stability (No bias)<br />
<br />
<span style="color: purple;">L: Listening & Learning ผู้นำที่ดี</span> ไม่ใช่ผู้ที่ชอบสั่งการให้ผู้อื่นทำงานแทนเท่านั้น แต่ผู้นำที่ดีต้องมีทักษะในการฟัง คือต้องฟังอย่างตั้งใจและเข้าอกเข้าใจ (Empathy Listening) เพราะท่านมิใช่แค่ใช้หูฟังเท่านั้นแต่ท่านต้องเอาใจของท่านฟังเพื่อรับรู้ความรู้สึกและปัญหาของผู้ร่วมงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชาด้วย ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการทำงานร่วมกันในระยะยาว อีกทักษะที่ขาดไม่ได้นั่นคือการหาความรู้ใหม่ๆ (Self-learning) ทั้งด้านการบริหารงานและคนเพื่อนำมาพัฒนาตัวท่านเองและผู้ใต้บังคับบัญชา เพราะยุคนี้เป็นยุคที่ถือว่า ความรู้คืออำนาจ ความรู้ใหม่ๆเกิดขึ้นตลอดเวลา ดังนั้น หากผู้นำหยุดการเรียนรู้ ก็เท่ากับหยุดทักษะความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ในการคิดสิ่งใหม่ๆ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อธุรกิจในปัจจุบันที่แข่งขันกันที่ความแปลกใหม่ที่จะนำเสนอกับลูกค้า ดังนั้นเริ่มอ่านหนังสือดีๆที่ท่านคิดว่าเป็นประโยชน์ต่อตัวท่านเองสักวันละนิด ท่านอาจจะได้ข้อคิดดีๆที่สามารถประยุกต์ในการทำงานของท่านได้นะคะ<br />
<br />
<span style="color: purple;">E: Ethic คุณธรรมที่ว่านี้เป็นความงดงามในจิตใจ</span> (Integrity) ช่วยส่งเสริมความก้าวหน้าของท่าน ผู้นำที่ประสบความสำเร็จ การยึดถือหลักคุณธรรมอย่างเดียวคงไม่พอ ยังรวมไปถึงคุณธรรม จรรยาบรรณต่างๆ ที่ท่านสามารถนำไปใช้ในการทำงานร่วมกับผู้ร่วมงานได้อย่างมีความสุข ดังที่กล่าวว่า “ให้สิ่งที่ดีแก่เขา เราก็ได้สิ่งที่ดีตอบ” หากท่านสนใจหลักการบริหารแนวพุทธล่ะก็ ขอแนะนำหนังสือ “หัวใจนักบริหาร” ของพระเทพโสภณ ซึ่งท่านจะได้แง่คิดดีๆในการทำงานร่วมกับผู้อื่นให้สำเร็จและมีความสุข<br />
<br />
<span style="color: purple;">A: Ability ผู้นำที่ดีต้องมีความสามารถ</span> (Competence) และมีบุคลิกลักษณะ (Characters) เป็นที่น่าเชื่อถือ มีความคิดสร้างสรรค์ในการทำงาน มีความสามารถในการมอบหมายงานให้เหมาะสมกับความสามารถของผู้ใต้บังคับบัญชา และสามารถถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยเฉพาะองค์กรในปัจจุบันมีความจำ<br />
<br />
เป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเพื่อรับมือกับการแข่งขันทางธุรกิจที่รุนแรง <br />
<br />
<span style="color: purple;">D: Dominance ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าผู้นำที่มีคุณธรรมสามารถสร้างบารมี</span> (Charisma) ให้กับตนเองได้ โดยบารมีในที่นี้คือ การแสดงออกให้ผู้อื่นยอมรับ และทำงานตามที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ โดยไม่รู้สึกว่าถูกบังคับ ความเป็นผู้นำ ไม่ได้เกิดจากการมีอำนาจในการให้คุณให้โทษแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการสั่งการหรือควบคุมลูกน้องทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิผล ยังเป็นการสร้างบรรยากาศในการทำงานให้น่าทำยิ่งขึ้นด้วย<br />
<br />
<span style="color: purple;">E: Employee-center การเป็นผู้นำที่ดีต้องรู้จักซื้อใจและประสานใจระหว่างผู้ร่วมงานและผู้ใต้บังคับบัญชา</span> <br />
เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์อันดีในการทำงาน สร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงาน ซึ่งจะเอื้อไปถึงการทำงานเป็นทีมอย่างมีความสุข หากมองภาพรวมขององค์กร คุณสมบัติของผู้นำในข้อนี้ยังส่งผลดีในแง่จิตใจของพนักงานที่อยากจะทุ่มเทการทำงานให้กับองค์กร และส่งผลมายังเม็ดเงินขององค์กรอีกด้วย <br />
<br />
<span style="color: purple;">R: Reinforcement การสร้างแรงจูงใจให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีความมุ่งมั่นสู่ความสำเร็จร่วมกัน</span>ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่ท่านสามารถสร้างทีมของท่านให้แข็งแกร่ง ดังเช่นบริษัท ซี.พี.เซเว่น อีเลฟเว่น จำกัด (มหาชน) มีนโยบายการบริหารจัดการคนโดยเน้นบทบาทของหัวหน้างานให้สามารถเป็นครูและเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกน้อง หัวหน้าและลูกน้องจะใกล้ชิดและดูแลกันตลอดเวลา ถ้าหัวหน้าเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกน้องได้ แบบปฏิบัติก็จะต่อเนื่องกันเป็นทอดๆ ในทุกระดับสายบังคับบัญชา <br />
<br />
<span style="color: purple;">S: Stability มาถึงข้อสุดท้ายที่สำคัญไม่แพ้ข้ออื่นเช่นกัน</span> นั่นคือ ความยุติธรรม ท่านสังเกตหรือไม่ว่าแผนกใด องค์กรใด มีความลำเอียงในการตัดสินใจดำเนินการ ผู้ใต้บังคับบัญชาทำดีเท่าไร ก็เหมือนไม่ทำเสียดีกว่า ท่านอาจปล่อยคนทำงานมือดีหลุดมือไปในไม่ช้า ปัจจุบันมีโครงการ Talent Management เพื่อรักษาคนทำงานที่เก่งงาน และสามารถเอาชนะใจผู้ร่วมงาน เพื่อรักษาบุคลากรที่มีศักยภาพให้อยู่ในองค์กรได้อย่างมีความสุข ท่านต้องคอยถามตัวท่านว่า ทักษะการบริหารคนของท่านอยู่ในขั้นโคม่า หรือไม่ หากท่านสามารถแก้ไข หรือเพิ่มทักษะการเป็นผู้นำที่ดีเข้ามาจัดการกับชีวิตการทำงาน และบุคคลที่ทำงานแวดล้อมกับท่าน ท่านควรรีบจัดการเป็นการด่วน<br />
<br />
ก่อนที่องค์กรของท่านจะเข้าขั้นโคม่า (ICU)<br />
<br />
<span style="color: red;"><strong>“Leadership cannot really be taught. It can only be learned.”</strong></span><br />
<br />
เป็นผู้นำดีเด่นในใจ ท่านได้กล่าวว่า “การทำงานของเราเป็นการทำงานร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นระดับ Officer หรือ Manager พวกเราคือเพื่อนร่วมงาน ไม่มีใครเป็นหัวหน้าหรือลูกน้องใคร”<br />
<br />
ท้ายสุดนี้ขออัญเชิญ พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นข้อคิดดีๆต่อหัวหน้างานที่ต้องการเก่งงานและเก่งคนทุกท่าน<br />
<br />
<span style="color: #38761d;">“การทำงานให้สำเร็จขึ้นอยู่กับความสามารถสองอย่างเป็นสำคัญ คือสามารถในการใช้วิชาความรู้อย่างหนึ่ง สามารถในการประสานสัมพันธ์กับผู้อื่นอีกอย่างหนึ่ง ทั้งสองประการนี้ต้องดำเนินคู่กันไป และจำเป็นต้องกระทำด้วยความสุจริตกาย สุจริตใจ ด้วยความคิดความเห็นที่เป็นอิสระปราศจากอคติ และด้วยความถูกต้องตามเหตุตามผลด้วย จึงจะช่วยให้งานบรรลุจุดหมายและประโยชน์ที่พึงประสงค์โดยครบถ้วนแท้จริง”<br />
</span><br />
<br />
<span style="color: #274e13;">petcharat@nationgroup.com</span>so.pncchttp://www.blogger.com/profile/12918364098107477979noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1692319392341407053.post-90906114317645022252009-12-18T20:09:00.002+07:002009-12-18T20:18:22.301+07:00คำคมจาก ขงเบ้ง<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgKv_tRCpu0lE-aTlpJkHikOqCc23DX6uL98G3I6DliNtdzALKtGY1B6ft-ABwruhG1PDwEOEiky2kqx56sfF_-Ur0U4c0Tk77RIdwLB3qkNPtX7fQPzEBTjiPKm8I0ouxx48JcQnkxrYE/s1600-h/images.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" ps="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgKv_tRCpu0lE-aTlpJkHikOqCc23DX6uL98G3I6DliNtdzALKtGY1B6ft-ABwruhG1PDwEOEiky2kqx56sfF_-Ur0U4c0Tk77RIdwLB3qkNPtX7fQPzEBTjiPKm8I0ouxx48JcQnkxrYE/s320/images.jpg" /></a><br />
</div><div style="text-align: center;"><br />
<div style="text-align: left;">ขงเบ้งได้รับการยกย่องว่าหยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทร ได้รับฉายาจากบังเต็กกงว่า "ฮกหลง" หมายถึง มังกรซุ่ม หรือ มังกรหลับ รับใช้ราชวงศ์เล่าถึง 2 ชั่วอายุคน แม้เมื่อมีชีวิตอยู่ ขงเบ้ง ได้สร้างมาตรฐานคุณธรรมของการบริหารบ้านเมืองไว้อย่างมาก และเมื่อเสียชีวิต พินัยกรรมของท่าน ยังเป็นบทเรียน สั่งสอนคนรุ่นต่อ ๆ มา อย่างน่าทึ่ง <br />
</div><br />
<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ่ <br />
</div><div style="text-align: center;">ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไร คุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น <br />
</div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;">เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย<br />
</div><div style="text-align: center;">เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส <br />
</div><div style="text-align: center;">เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย <br />
</div><div style="text-align: center;">ดังนี้แล้ว "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะ ตน" <br />
</div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;">นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ <br />
</div><div style="text-align: center;">ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด <br />
</div><div style="text-align: center;">ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด <br />
</div><div style="text-align: center;">ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น<br />
</div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;">ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี <br />
</div><div style="text-align: center;">ไม้คดใช้ทำขอ เหล็กงอใช้ทำเคียว แต่คนคดเคี้ยว ใช้ทำอะไรไม่ได้เลย <br />
</div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;">เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว <br />
</div><div style="text-align: center;">เดินหมากรุกยังต้องคิด เดินหมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร <br />
</div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;">เมื่อใครสักคนหนึ่งทำผิด ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขา <br />
</div><div style="text-align: center;">เพราะถ้าท่านเป็นเขาและตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับเขา <br />
</div><div style="text-align: center;">ท่านอาจจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้ <br />
</div><div style="text-align: center;"><br />
<br />
</div><div style="text-align: center;">การบริหารคือการทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือผู้อื่น <br />
</div><div style="text-align: center;">ผู้ปกครองระดับธรรมดาใช้ความสารมารถของตนอย่างเต็มที่ <br />
</div><div style="text-align: center;">ผู้ปกครองระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่ <br />
</div><div style="text-align: center;">ผู้ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่นอย่างเต็มที่ <br />
</div><div style="text-align: center;">อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น<br />
</div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;">เมื่อนักการทูตพูดว่า "ใช่ หรือ อาจจะ" เขามีความหมายว่า "อาจจะ" <br />
</div><div style="text-align: center;">เมื่อนักการทูตพูดว่า "อาจจะ" เขามีความหมายว่า "ไม่" <br />
</div><div style="text-align: center;">เมื่อนักการทูตพูดว่า "ไม่" เขาไม่ใช่นักการทูต <br />
</div><div style="text-align: center;">(เพราะนักการทูตที่ดีจะไม่ปฏิเสธใคร) <br />
</div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;">เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ไม่" หล่อนมีความหมายว่า "อาจจะ" <br />
</div><div style="text-align: center;">เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "อาจจะ" หล่อนมีความหมายว่า "ใช่ หรือ ได้" <br />
</div><div style="text-align: center;">เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ใช่ หรือ ได้" หล่อนไม่ใช่สุภาพสตรี <br />
</div><div style="text-align: center;">(เพราะสุภาพสตรีจะไม่ตอบรับใครง่ายๆ) <br />
</div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;"><br />
คิดทำการใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย <br />
</div><div style="text-align: center;">ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถมองเห็นคิ้วของตน <br />
</div><div style="text-align: center;">คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้น <br />
</div><div style="text-align: center;">แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไปยังอนาคต<br />
</div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;"><br />
</div>so.pncchttp://www.blogger.com/profile/12918364098107477979noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1692319392341407053.post-47801486000330944782009-12-18T19:54:00.000+07:002009-12-18T19:54:43.126+07:00นิทาน กระต่ายกับเต่า ฉบับ MBA<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br />
</div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2qCH0Ac9w9PuObHd0Xn8nrxj6Vaq6Hwz1qh2PierkEuMGj3v2RzFud2IHfBa7XUlNVyf0KIGBb7c7kNh7TJ0i76ZNzwlrS3XidEKKCpD6OMvXc-lP7CyAboFMKDEr-zwzeaZzHzrwP6k/s1600-h/team.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" ps="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2qCH0Ac9w9PuObHd0Xn8nrxj6Vaq6Hwz1qh2PierkEuMGj3v2RzFud2IHfBa7XUlNVyf0KIGBb7c7kNh7TJ0i76ZNzwlrS3XidEKKCpD6OMvXc-lP7CyAboFMKDEr-zwzeaZzHzrwP6k/s200/team.jpg" /></a><br />
</div>กาลครั้งหนึ่ง เจ้าเต่ากับกระต่ายเถียงกันว่าใครเร็วกว่ากัน ทั้งคู่จึงตกลงที่ จะวิ่งแข่ง ก็มีการกำหนดเส้น ทางวิ่งแล้วก็เริ่มการแข่งขัน เจ้ากระต่ายนำโด่งมาไกลก็เลยชะล่าใจ คิดว่าพัก ผ่อนใต้ต้นไม้สักแป๊บหนึ่ง ก่อนแข่งต่อก็ดี ไปๆ มาๆ ก็ง่วงสิ ตื่นมาอีกทีเจ้าเต่าก็คว้าแชมป์ไปแล้ว <br />
<br />
<br />
นิทานตอนนี้สอนให้รู้ว่า ช้าๆ แต่มั่นคงสามารถเอาชนะได้ (เหมือนกัน) นี่เป็น <br />
<br />
เวอร์ชั่นเด็กๆ ที่เราคุ้น เคยกัน ไม่นานมานี้มีคนเล่าเวอร์ชั่นใหม่ที่น่าสนใจให้ฟัง <br />
<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
เจ้ากระต่ายสันหลังยาวก็อารมณ์บ่จอยตามระเบียบที่แพ้ มันจึงค้นหาจุดอ่อนของตน <br />
<br />
เอง แล้วก็พบว่าความ มั่นใจในตัวเองเกินไปบวกกับความขี้เกียจนั่นแหละที่ทำให้แพ้ ถ้าไม่เผลอหลับ เสียอย่าง เต่าหน้าไหนจะ เอาชนะมันได้ กระต่ายจึงขอแก้ตัวใหม่อีกครั้ง เฮ้ย... เมื่อกี้ฟลุคหรือเปล่า แน่จริงแข่งใหม่สิ เจ้าเต่าก็ตกลง ... ย่อมได้ไอ้น้อง แน่นอนว่าครั้งนี้ เจ้าเต่าโดนทิ้งไม่เห็นฝุ่น กระต่ายชนะขาดลอย เราได้ข้อคิดอะไรล่ะ ต่อให้ช้าแต่ชัวร์ ยังไงก็แพ้เร็วและสม่ำเสมอ ถ้าเราเปรียบเทียบคนสองคนใน องค์กรของเรา คนหนึ่งช้า จริงทำอะไรมีระบบระเบียบแบบแผน แต่ทำอะไรๆ ไม่เคยพลาด ไว้ใจได้แน่นอนในผลงาน ของเขา เทียบกับอีกคนหนึ่งที่เร็วและก็พอไว้ใจได้ในสิ่งที่เขาทำ คนที่เร็วกว่ามักจะ ประสบความสำเร็จมีความ เจริญก้าวหน้าในองค์กรนั้นๆ มากกว่า ช้าแต่ชัวร์ก็ดีอยู่หรอก แต่ให้เร็วและพอ ใช้ได้นี่ดีกว่า <br />
<br />
เรื่องยังไม่จบแค่นี้ <br />
<br />
คราวนี้ถึงทีเจ้าเต่ามาหาจุดบกพร่องของตัวเองบ้าง และก็พบว่า เป็นไปไม่ได้เลย ที่จะชนะกระต่ายใน เส้นทางการวิ่งแบบที่เป็นอยู่นี้ มันก็คิดอยู่สักครู่หนึ่งก็ไปท้ากระต่ายแข่ง ใหม่ แต่ขอเปลี่ยนเส้นทางวิ่งเสีย หน่อย เจ้ากระต่ายก็ว่าย่อมได้อยู่แล้วพี่ พอการแข่งเริ่ม เจ้ากระต่ายก็ใส่เกียร์ห้อออกไปเต็มสปีดเลย จนกระทั่งไปถึง ระหว่างทาง เฮ้ย!!! เวรกรรม ต้องข้ามแม่น้ำ ทำไงล่ะตู ... เส้นชัยอยู่ไม่ห่างจากฝั่งตรงข้ามเท่า ไหร่เลย เจ้ากระต่ายมัว แต่งงว่าจะทำยังไงดี จนเจ้าเต่าคืบคลานมาทันแล้วก็จ๋อมลงน้ำว่ายข้ามฝั่งไปเข้า เส้นชัย <br />
<br />
<br />
<br />
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ... พิจารณาจุดแข็งของตนให้ดีแล้วพยายามเปลี่ยน สนามการแข่งขันให้ตน เองได้เปรียบมากที่สุ ด ยังไม่พอ มีต่อ ด้วยน้ำใจนักกีฬา ครั้งนี้เจ้าเต่ากับกระต่ายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแล้ว ต่างคน ต่างมาระดมสมองคิดด้วยกัน หากทั้งสองร่วมมือกัน การแข่งขันแบบเมื่อครั้งล่าสุดจะช่วยให้ทำเวลาได้ดีขึ้น ดังนั้นพวกมันจึงคิดจะแข่ง อีกครั้ง แต่แข่งครั้งนี้เป็นแบบทีมเวิร์ก <br />
<br />
เริ่มต้นเจ้ากระต่ายก็แบกเต่าวิ่งไปด้วยความเร็วสูง จนถึงริมแม่น้ำแล้วเจ้า เต่าก็ให้กระต่ายขี่หลังว่ายน้ำ ข้ามไป พอข้ามฝั่งเจ้ากระต่ายก็แบกเจ้าเต่าวิ่งต่อจนเข้าเส้นชัยด้วยกัน ผลการ <br />
<br />
แข่งครั้งนี้ สร้างความพึง พอใจให้กับทั้งสองฝ่ายมากกว่าการแข่งครั้งก่อนหน้านี้ <br />
<br />
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า... <br />
<br />
การมีจุดแข็งและความสามารถโดดเด่นเฉพาะตัวเป็นสิ่งที่ดี แต่หากไม่รู้จักทำงาน ร่วมกับผู้อื่น ยังไงก็ไป ไม่รอด เพราะมันจะมีบางสถานการณ์ที่เราเจ๋งคนอื่นเจ๊ง ในขณะที่บางสถานการณ์เรา <br />
<br />
เจ๊งแต่คนอื่นเจ๋ง ทีมเวิร์กสำคัญตรงที่การกำหนดผู้นำให้เหมาะกับสถานการณ์ ให้ผู้ที่มีความถนัด <br />
<br />
กับสถานการณ์นั้นๆ เป็นผู้นำ กลุ่มในแต่ละช่วงสถานการณ์ที่เหมาะกับความสามารถของเขา <br />
<br />
นอกจากนี้ เรายังได้รับบทเรียนอีกอย่างหนึ่งด้วยว่า ไม่ว่าเต่าหรือกระต่าย ไม่มีใครคิดเลิกล้มหรือท้อแท้ จากความล้มเหลวที่เกิดขึ้น กระต่ายแก้ไขจุดบกพร่องของตนเองโดยทำงานให้หนักขึ้น <br />
<br />
และเพิ่มความมุมานะในงานของตนเองหลังจากพบความล้มเหลว ส่วนเต่าได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของตนใหม่ เพราะตัวมันเองได้ทำงานหนักที่สุดเท่าที่มันจะสามารถทำได้แล้วในชีวิต เมื่อเราพบปัญหาหรือความล้มเหลว บางครั้งเราก็ควรจะทำงานให้หนักขึ้นและมีความ เอาใจใส่ในงาน <br />
<br />
มากกว่าเดิม บางครั้งก็ควรเปลี่ยนแผนการทำงานและทดลองในสิ่งใหม่ๆ ที่แตกต่าง ออกไป และในบาง ครั้งก็จำเป็นต้องทำทั้งสองอย่างเลย <br />
<br />
<br />
<br />
**นอกจากนั้น กระต่ายกับเต่าก็ได้รับบทเรียน ที่สำคัญอีกอย่างคือ เมื่อเราหยุด <br />
<br />
การแข่งขันกับบุคคล แล้ว <br />
<br />
หันมาแข่งกับสถานการณ์แทน พวกมันจะทำงานได้ดีขึ้นมาก**so.pncchttp://www.blogger.com/profile/12918364098107477979noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1692319392341407053.post-58996146459776289322009-12-11T21:03:00.001+07:002009-12-11T21:05:29.139+07:00หลักธุรกิจในเศรษฐกิจพอเพียง<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjS3w8UY8uMCZstkZu5W9egjNY0SYLLI1B6S3fEjQ-6ZgOnTci0ZWJx68XU2nHqC0d8e77cszPdnjFE-na7C6gqcKqX4fKwaVSYMcrAN2Zoo7fUtwhqL6uACJFPBg6mIyDAYKTq95axYgI/s1600-h/20091211538_01.jpg" imageanchor="1" style="cssfloat: left; margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" ps="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjS3w8UY8uMCZstkZu5W9egjNY0SYLLI1B6S3fEjQ-6ZgOnTci0ZWJx68XU2nHqC0d8e77cszPdnjFE-na7C6gqcKqX4fKwaVSYMcrAN2Zoo7fUtwhqL6uACJFPBg6mIyDAYKTq95axYgI/s320/20091211538_01.jpg" /></a><br />
</div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">ธุรกิจเป็นภาคที่มีความสำคัญ ในฐานะที่เป็นผู้ผลิตหลักในระบบเศรษฐกิจ ไม่เพียงแต่ตัวเองที่สามารถเลือกว่าจะดำเนินธุรกิจ ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงหรือไม่เท่านั้น แต่ธุรกิจยังมีความสามารถในการโน้มน้าวผู้บริโภค ให้มีพฤติกรรมไปในทางที่พอเพียงหรือไม่พอเพียงได้อีกด้วย<br />
</div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><br />
</div><a name='more'></a><br />
ปัญหาของภาคธุรกิจที่ต้องการน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาปฏิบัติในขณะนี้ คือ การขาดทฤษฎีที่ได้รับการพิสูจน์ และทดสอบยืนยันผลของการประยุกต์อย่างเป็นระบบ และสามารถนำไปปฏิบัติซ้ำได้สำเร็จ เช่น ในภาคเกษตรกรรม ที่มีรูปแบบของ "เกษตรทฤษฎีใหม่" ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงคิดค้นขึ้นด้วยพระองค์เอง และได้ใช้พื้นที่ของมูลนิธิชัยพัฒนาทดลองจนแน่พระทัยว่าประสบผลสำเร็จ ทำให้มีสถานภาพเป็นทฤษฎีที่ได้รับการพิสูจน์และทดสอบแล้ว<br />
<br />
การแปลง "ปรัชญา" เศรษฐกิจพอเพียง ให้เป็น "ทฤษฎี" ธุรกิจในแต่ละสาขา จึงเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นในภาคการผลิต ภาคการค้า หรือภาคการบริการต่างๆ<br />
<br />
ด้วยเหตุที่ การดำเนินธุรกิจต่างมีเป้าหมายในการแสวงหากำไรสูงสุด แนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง มิได้ขัดกับหลักการแสวงหากำไรสูงสุดในธุรกิจ แต่ว่าเศรษฐกิจพอเพียงมุ่งคำนึงถึงกำไรสูงสุดในทางเศรษฐศาสตร์ (Economic Profit) มากกว่ากำไรสูงสุดในทางบัญชี (Accounting Profit) ซึ่งการพิจารณาที่ตัวกำไรทางเศรษฐศาสตร์ ได้คำนึงถึงต้นทุนค่าเสียโอกาสต่างๆ และส่วนเพิ่มมูลค่า (Value Added) ขององค์กรที่แท้จริง<br />
<br />
การดำเนินธุรกิจตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงจึงไม่ได้หมายความว่า ธุรกิจจะต้องลดกำไรลงหรือต้องลดกำลังการผลิตลง จึงจะเรียกว่าพอเพียง ทุกธุรกิจยังสามารถแสวงหากำไรสูงสุดได้ และต้องยังคงมุ่งหมายให้ได้มาซึ่งประสิทธิภาพ และประสิทธิผลสูงสุดในการผลิต เพื่อการพัฒนาก้าวหน้าขององค์กร เพียงแต่ว่าในกระบวนการนั้น ต้องทำให้เกิดการเบียดเบียนกันให้น้อยที่สุด ทั้งการเบียดเบียนตนเอง และการเบียดเบียนผู้อื่น<br />
<br />
ตัวอย่างของการเบียดเบียนตนเอง คือ การมุ่งแต่จะหารายได้ให้มากที่สุด ด้วยการทำงานหามรุ่งหามค่ำ มากจนเสียสุขภาพตนเองในระยะยาว หรือมากจนละเลยหน้าที่ในครอบครัว บุตรหลานขาดการอบรมเลี้ยงดู เติบใหญ่มาเป็นคนที่ขาดคุณภาพ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นต้นทุนค่าเสียโอกาสทั้งสิ้น แม้ธุรกิจจะมีผลกำไรทางบัญชีสูงจากกรณีนี้ แต่เมื่อหักลบกลบค่าเสียโอกาสแล้ว ก็จะมีผลกำไรทางเศรษฐศาสตร์ที่ติดลบจำนวนมหาศาล<br />
<br />
ตัวอย่างของการเบียดเบียนผู้อื่น คือ การทำการค้าแสวงหากำไรด้วยการเอาเปรียบผู้บริโภค การทุจริตคอร์รัปชัน การใช้ประโยชน์จากทรัพย์สมบัติสาธารณะเพื่อสร้างรายได้แก่ธุรกิจเฉพาะกลุ่ม การหลบเลี่ยงภาษี การทิ้งกากของเสียสู่สิ่งแวดล้อมโดยไม่ผ่านกระบวนการบำบัด จะเห็นว่า มูลค่ากำไรทางบัญชีที่ปรากฏนั้น มิได้สะท้อนคุณภาพของกำไรที่มีต่อผลกระทบสู่ภายนอก (Externalities) ทั้งมิติทางสังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม แต่อย่างใด<br />
<br />
หลักการธุรกิจที่ถอดความได้ตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง จะเป็นไปในลักษณะประสานประโยชน์ซึ่งกันและกัน เข้าทำนอง "ได้ประโยชน์ตน แต่ไม่เสียประโยชน์ท่าน" ดัง พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม 2550 ที่ว่า<br />
<br />
"...ในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง พอเพียงคืออะไร ไม่ใช่เพียงพอ คือว่า ไม่ได้หมายความว่า ให้ทำกำไรเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง ทำกำไรก็ทำ ถ้าเราทำกำไรได้ดี มันก็ดี แต่ว่าขอให้มันพอเพียง ถ้าท่านเอากำไรหน้าเลือดมากเกินไป มันไม่ใช่พอเพียง นักเศรษฐกิจเขาว่าพระเจ้าอยู่หัว นี่คิดอะไรแปลกๆ ก็แปลกสิ ขายไม่ให้ได้กำไร ซื้ออะไรไม่ขาดทุน เป็นเศรษฐกิจพอเพียง คือไม่ต้องหน้าเลือด แล้วไม่ใช่จะมีกำไรมากเกินไป หรือน้อยเกินไป ให้พอเพียง ไม่ใช่เรื่องของการค้าเท่านั้นเอง เป็นเรื่องของการพอเหมาะพอดี..."<br />
<br />
ทั้งนี้ การสื่อสารเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงในกลุ่มนักธุรกิจให้ได้ผลนั้น สิ่งสำคัญ คือผู้รับสารเองต้องพร้อมที่จะรับสารนั้นด้วย ซึ่งความพร้อมที่ว่านี้จะมาจาก 2 เงื่อนไข เงื่อนไขแรก คือ องค์กรหรือธุรกิจนั้นอาจกำลังประสบกับวิกฤติ มีปัญหาหนี้สิน หาทางออกไม่ได้ เศรษฐกิจพอเพียงจะช่วยตอบคำถาม หาทางออก และช่วยแก้ไขวิกฤติได้ ธุรกิจในกลุ่มนี้จะรับสารได้เร็ว เพราะต้องการแก้ไขสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ให้ดีขึ้น เรียกได้ว่า เห็นทุกข์ ก็เห็นธรรม<br />
<br />
ขณะที่ธุรกิจอีกกลุ่มหนึ่งอาจจะเพลิดเพลินอยู่กับการค้าขาย ยังมีกำไร มีความสุขอยู่ และไม่จำเป็นต้องขวนขวายแนวทางใหม่ๆ ทำให้รับสารได้ยาก นักธุรกิจกลุ่มนี้จะต้องชี้ให้เห็นว่าหากทำธุรกิจโดยประมาทเช่นนี้ต่อไป วันหนึ่งข้างหน้าอาจจะไม่ยั่งยืน อาจจะต้องเจอกับวิกฤติ เนื่องจากขาดภูมิคุ้มกันทางธุรกิจที่ดีพอ ซึ่งหากผู้ประกอบการในช่วงปี 2540 ได้รับรู้ ปฏิบัติตนและดำเนินธุรกิจตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ธุรกิจก็อาจไม่เจอกับวิกฤติจนถึงขั้นต้องปิดกิจการ ฉะนั้นถ้าผู้รับสารพร้อมที่จะรับ คนที่สื่อสารก็พร้อมที่จะส่งสารได้อย่างถูกต้อง ก็จะเกิดประโยชน์สูงสุด<br />
<br />
ปัญหาใหญ่ในการทำความเข้าใจปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในหมู่นักธุรกิจนั้น คือ การศึกษาทำความเข้าใจอย่างลวกๆ ผิวเผิน แล้วด่วนตีความไปตามกรอบคิดและประสบการณ์ของตนเอง เช่น คิดว่าเศรษฐกิจเพียงก็คือการประหยัด ไม่เป็นหนี้ หรือ เศรษฐกิจพอเพียงคือการที่อยู่อย่างสันโดษไม่ยุ่งกับใคร หรือเหมาะกับเกษตรกรมากกว่านักธุรกิจ หรือที่แย่ไปกว่านั้นคือ การยอมรับสภาพที่เป็นอยู่ ใช้เป็นเหตุผลที่ไม่ต้องทำอะไรไปมากกว่านี้ ซึ่งทั้งหลายที่กล่าวมานั้นเป็นการด่วนสรุปอย่างเข้าใจผิดทั้งหมด<br />
<br />
นอกจากนั้น การตีความที่เป็นอุปสรรคสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ นักธุรกิจส่วนใหญ่จะมีลักษณะที่เรียกว่าน้ำเต็มแก้ว มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ทั้งจากความสำเร็จในธุรกิจที่ทำและจากการเป็นที่ยอมรับในวงสังคม หากนักธุรกิจเหล่านี้เปิดใจกว้างเพื่อทำความเข้าใจกับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงอย่างแท้จริง ก็จะพบว่าเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้ขัดกับเรื่องของทุนนิยม ไม่ได้ขัดกับเรื่องของธุรกิจที่ต้องแสวงหากำไร ไม่ได้ห้ามการเป็นหนี้ และเศรษฐกิจพอเพียงก็จำเป็นจะต้องทำงานร่วมกับผู้อื่น ไม่ใช่การอยู่คนเดียว ข้อเท็จจริงเหล่านี้ จะค้นพบได้ก็ต่อเมื่อเปิดใจเรียนรู้อย่างไม่เอนเอียง<br />
<br />
http://<a href="http://www.uinthai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538662726&Ntype=82">www.uinthai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538662726&Ntype=82</a>so.pncchttp://www.blogger.com/profile/12918364098107477979noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1692319392341407053.post-57856161778116988632009-12-11T19:35:00.002+07:002009-12-11T21:10:32.871+07:00ภาวะผู้นำ (Leaders)<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgOAvcPQFPZ7BEnMKFRxIMaKl9NEpnkE9dD3hK09Yo7T0rD7ES-q_Z2PaJ7PfFuauDo3DLCI25Opz4Cu97C-8ZwCK5kSXqnC83vxcWDco0ggY6_OnLITsX7d-zfWpgcn48BqbAJKUm7aN0/s1600-h/6.jpg" imageanchor="1" style="cssfloat: right; margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" ps="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgOAvcPQFPZ7BEnMKFRxIMaKl9NEpnkE9dD3hK09Yo7T0rD7ES-q_Z2PaJ7PfFuauDo3DLCI25Opz4Cu97C-8ZwCK5kSXqnC83vxcWDco0ggY6_OnLITsX7d-zfWpgcn48BqbAJKUm7aN0/s320/6.jpg" /></a><br />
</div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">ปัจจุบันองค์กรที่มีการจัดการที่ดีทั้งหลายต่างต้องการบุคลากรที่มีความเป็นผู้นำที่เก่งและมีประสิทธิภาพ มีความมุ่งมั่นในการทำงาน มีความสามารถในการสื่อสารทั้งภายในและระหว่างองค์กร ในขณะเดียวกันสามารถสร้างความสัมพันธ์เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมจากใจ (Participative Cooperation) เพื่อนำองค์กรไป<br />
</div><a name='more'></a><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">สู่ความก้าวหน้าและลดปัญหาความขัดแย้งในการประสานงานกับบุคคลรอบข้าง ดังนั้นผู้นำสมัยใหม่จะประสบความสำเร็จได้ต้องหมั่นศึกษาหาความรู้ให้ทันต่อสภาวะการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมที่รุมเร้าอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นผู้นำที่มีประสิทธิภาพต้องสามารถทำให้ผู้ร่วมงานทำงานได้อย่างมีคุณภาพและเต็มความสามารถ<br />
</div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><br />
</div> คำว่า “LEADERS” ในความหมายของแต่ละท่านคงมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป ซึ่งดิฉันขอสรุปคุณสมบัติในการเป็นผู้นำในยุคโลกาภิวัฒน์ ดังนี้<br />
<br />
๏ L = Listening & Learning <br />
<br />
๏ E = Ethic <br />
<br />
๏ A = Ability <br />
<br />
๏ D = Dominance <br />
<br />
๏ E = Employee-center <br />
<br />
๏ R = Reinforcement <br />
<br />
๏ S = Stability (No bias)<br />
<br />
ดิฉันขอนิยามคุณสมบัติแต่ละตัวให้ท่านผู้อ่านเข้าใจยิ่งขึ้น <br />
<br />
L: Listening & Learning ผู้นำที่ดี ไม่ใช่ผู้ที่ชอบสั่งการให้ผู้อื่นทำงานแทนเท่านั้น แต่ผู้นำที่ดีต้องมีทักษะใน การฟัง คือต้องฟังอย่างตั้งใจและเข้าอกเข้าใจ (Empathy Listening) เพราะท่านมิใช่แค่ใช้หูฟังเท่านั้นแต่ท่านต้องเอาใจของท่านฟังเพื่อรับรู้ความรู้สึกและปัญหาของผู้ร่วมงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชาด้วย ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการทำงานร่วมกันในระยะยาว อีกทักษะที่ขาดไม่ได้นั่นคือการหาความรู้ใหม่ๆ (Self-learning) ทั้งด้านการบริหารงานและคนเพื่อนำมาพัฒนาตัวท่านเอง และผู้ใต้บังคับบัญชา เพราะยุคนี้เป็นยุคที่ถือว่า ความรู้คืออำนาจ ความรู้ใหม่ๆเกิดขึ้นตลอดเวลา ดังนั้น หากผู้นำหยุดการเรียนรู้ ก็เท่ากับหยุดทักษะความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ในการคิดสิ่งใหม่ๆ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อธุรกิจในปัจจุบันที่แข่งขันกันที่ความแปลกใหม่ที่จะนำเสนอกับลูกค้า ดังนั้นเริ่มอ่านหนังสือดีๆที่ท่านคิดว่าเป็นประโยชน์ต่อตัวท่านเองสักวันละนิด ท่านอาจจะได้ข้อคิดดีๆที่สามารถประยุกต์ในการทำงานของท่านได้นะคะ<br />
<br />
E: Ethic คุณธรรมที่ว่านี้เป็นความงดงามในจิตใจ (Integrity) ช่วยส่งเสริมความก้าวหน้าของท่าน ผู้นำที่ประสบความสำเร็จ การยึดถือหลักคุณธรรมอย่างเดียวคงไม่พอ ยังรวมไปถึงคุณธรรม จรรยาบรรณต่างๆ ที่ท่านสามารถนำไปใช้ในการทำงานร่วมกับผู้ร่วมงานได้อย่างมีความสุข ดังที่กล่าวว่า “ให้สิ่งที่ดีแก่เขา เราก็ได้สิ่งที่ดีตอบ” หากท่านสนใจหลักการบริหารแนวพุทธล่ะก็ ขอแนะนำหนังสือ “หัวใจนักบริหาร” ของพระเทพโสภณ ซึ่งท่านจะได้แง่คิดดีๆในการทำงานร่วมกับผู้อื่นให้สำเร็จและมีความสุข<br />
<br />
A: Ability ผู้นำที่ดีต้องมีความสามารถ (Competence) และมีบุคลิกลักษณะ (Characters) เป็นที่น่าเชื่อถือ มีความคิดสร้างสรรค์ในการทำงาน มีความสามารถในการมอบหมายงานให้เหมาะสมกับความสามารถของผู้ใต้บังคับบัญชา และสามารถถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยเฉพาะองค์กรในปัจจุบันมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเพื่อรับมือกับการแข่งขันทางธุรกิจที่รุนแรง <br />
<br />
D: Dominance ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าผู้นำที่มีคุณธรรมสามารถสร้างบารมี (Charisma) ให้กับตนเองได้ โดยบารมีในที่นี้คือ การแสดงออกให้ผู้อื่นยอมรับ และทำงานตามที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ โดยไม่รู้สึกว่าถูกบังคับ ความเป็นผู้นำ ไม่ได้เกิดจากการมีอำนาจในการให้คุณให้โทษแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการสั่งการหรือควบคุมลูกน้องทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิผล ยังเป็นการสร้างบรรยากาศในการทำงานให้น่าทำยิ่งขึ้นด้วย<br />
<br />
E: Employee-center การเป็นผู้นำที่ดีต้องรู้จักซื้อใจและประสานใจระหว่างผู้ร่วมงานและผู้ใต้บังคับบัญชา <br />
เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์อันดีในการทำงาน สร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงาน ซึ่งจะเอื้อไปถึงการทำงานเป็นทีมอย่างมีความสุข หากมองภาพรวมขององค์กร คุณสมบัติของผู้นำในข้อนี้ยังส่งผลดีในแง่จิตใจของพนักงานที่อยากจะทุ่มเทการทำงานให้กับองค์กร และส่งผลมายังเม็ดเงินขององค์กรอีกด้วย <br />
<br />
R: Reinforcement การสร้างแรงจูงใจให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีความมุ่งมั่นสู่ความสำเร็จร่วมกันซึ่งเป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่ท่านสามารถสร้างทีมของท่านให้แข็งแกร่ง ดังเช่นบริษัท ซี.พี.เซเว่น อีเลฟเว่น จำกัด (มหาชน) มีนโยบายการบริหาร<br />
<br />
จัดการคนโดยเน้นบทบาทของหัวหน้างานให้สามารถเป็นครูและเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกน้อง หัวหน้าและลูกน้องจะใกล้ชิดและดูแลกันตลอดเวลา ถ้าหัวหน้าเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกน้องได้ แบบปฏิบัติก็จะต่อเนื่องกันเป็นทอดๆ ในทุกระดับสายบังคับบัญชา <br />
<br />
S: Stability มาถึงข้อสุดท้ายที่สำคัญไม่แพ้ข้ออื่นเช่นกัน นั่นคือ ความยุติธรรม ท่านสังเกตหรือไม่ว่าแผนกใด องค์กรใด มีความลำเอียงในการตัดสินใจดำเนินการ ผู้ใต้บังคับบัญชาทำดีเท่าไร ก็เหมือนไม่ทำเสียดีกว่า ท่านอาจปล่อยคนทำงานมือดีหลุดมือไปในไม่ช้า ปัจจุบันมีโครงการ Talent Management เพื่อรักษาคนทำงานที่เก่งงาน และสามารถเอา ชนะใจผู้ร่วมงาน เพื่อรักษาบุคลากรที่มีศักยภาพให้อยู่ในองค์กรได้อย่างมีความสุข ท่านต้องคอยถามตัวท่านว่า ทักษะการบริหารคนของท่านอยู่ในขั้นโคม่า หรือไม่ หากท่านสามารถแก้ไข หรือเพิ่มทักษะการเป็นผู้นำที่ดีเข้ามาจัดการกับชีวิตการทำงาน และบุคคลที่ทำงานแวดล้อมกับท่าน ท่านควรรีบจัดการเป็นการด่วน<br />
<br />
ก่อนที่องค์กรของท่านจะเข้าขั้นโคม่า (ICU)<br />
<br />
“Leadership cannot really be taught. It can only be learned.”<br />
<br />
ดิฉันขอยกคำพูดของหัวหน้างานของผู้เขียนท่านหนึ่ง ฟังแล้วประทับใจในคำพูดของท่านมาก และยกย่องท่านให้เป็นผู้นำดีเด่นในใจ ท่านได้กล่าวว่า “การทำงานของเราเป็นการทำงานร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นระดับ Officer หรือ Manager พวกเราคือเพื่อนร่วมงาน ไม่มีใครเป็นหัวหน้าหรือลูกน้องใคร”<br />
<br />
ท้ายสุดนี้ดิฉันขออัญเชิญ พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นข้อคิดดีๆต่อหัวหน้างานที่ต้องการเก่งงานและเก่งคนทุกท่าน<br />
<br />
<span style="color: #38761d;">“การทำงานให้สำเร็จขึ้นอยู่กับความสามารถสองอย่างเป็นสำคัญ คือสามารถในการใช้วิชาความรู้อย่างหนึ่ง สามารถในการประสานสัมพันธ์กับผู้อื่นอีกอย่างหนึ่ง ทั้งสองประการนี้ต้องดำเนินคู่กันไป และจำเป็นต้องกระทำด้วยความสุจริตกาย สุจริตใจ ด้วยความคิดความเห็นที่เป็นอิสระปราศจากอคติ และด้วยความถูกต้องตามเหตุตามผลด้วย จึงจะช่วยให้งานบรรลุจุดหมายและประโยชน์ที่พึงประสงค์โดยครบถ้วนแท้จริง”<br />
</span><br />
petcharat@nationgroup.comso.pncchttp://www.blogger.com/profile/12918364098107477979noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1692319392341407053.post-36398679729905818662009-12-11T19:06:00.002+07:002009-12-11T21:24:38.760+07:00มองกลยุทธ์ของบริษัทชั้นนำที่ทำให้เป้าหมายบรรลุ<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><br />
</div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiTlXUMHVrk0jNR1hDwRvBX03-9u0Crl0C6z9YRjq1EiVS33ZORnl3WUH_Xt64Sg0WhbCFTTNu49kSM113xfWRV_AqwMl27zylgif21AIxTrDNE4cxhrIIsKE4b9NxKGL61400LVFYGC2s/s1600-h/3.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" ps="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiTlXUMHVrk0jNR1hDwRvBX03-9u0Crl0C6z9YRjq1EiVS33ZORnl3WUH_Xt64Sg0WhbCFTTNu49kSM113xfWRV_AqwMl27zylgif21AIxTrDNE4cxhrIIsKE4b9NxKGL61400LVFYGC2s/s320/3.jpg" /></a><br />
</div> ความท้าท้ายของจังหวัดในการบริหารงานแบบ CEO จังหวัดใดสามารถกำหนดยุทธศาสตร์ได้สอดคล้องกับศักยภาพของจังหวัดและนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่จังหวัดสร้างรายได้และเกิดประโยชน์สุขแก่ประชาชนแล้ว <br />
</div><a name='more'></a><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">จังหวัดที่ผ่านการประเมินจะมีโอกาสได้รับรางวัลตอบแทนกลับมาสู่ประชาชนและจังหวัด ย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอนซึ่งจะเป็นมิติใหม่ที่จะได้เห็นกันในห้วงเวลาอีกไม่นานของระบบการบริหารงานแบบใหม่นี้ ก่อนจะถึงต้นเดือนพฤศจิกายน 2546 ทุกจังหวัด กำลังดำเนินการวิเคราะห์จุดเด่นจุดด้อยและโอกาสอย่างเข้มข้น เพื่อกำหนดวิสัยทัศน์ ภารกิจ ยุทธศาสตร์แผนปฏิบัติการ เพื่อจุดประกายด้านยุทธศาสตร์ สถาบันดำรงราชานุภาพ จึงนำเสนอสูตรความสำเร็จของบริษัท เอกชนชั้นนำว่าเขากำหนดยุทธศาสตร์ใดจึงได้เกิดความสำเร็จอย่างสูง ดังนี้<br />
</div><br />
1.อาณาจักร “แลนด์มาร์ค” เครือโรงแรมแลนด์มาร์คเข้าไปซื้อกิจการโรงแรมในลอนดอนครั้งแรกปี 2533 “รอยัล แลงแคสเตอร์” เปิดบริการเพียง 1 ปี ได้รับรางวัลโรงแรมบริการยอดเยี่ยมและนับถึงปัจจุบันได้รับรางวัลทั้งหมด 13 รางวัล อีกแห่งคือ “แลนด์มาร์ค ลอนดอน” เช่นเดียวกันคือได้รับ 10 รางวัล ต่อจากนั้นก็เป็น “เค เวสต์ ลอนดอน” ได้ 1 รางวัล และ “แลนด์มาร์ค กรุงเทพ” เปิด 16 ปี ได้ 5 รางวัล<br />
<br />
หัวใจความสำเร็จ คือ “บริการ” ซึ่งเป็นสินค้าที่ขายแล้วสร้างความพอใจความประทับใจ และการที่ลูกค้าจะมาใช้เงินกับโรงแรมต้องดูแลโปรดักต์ให้ดีเสมอ คอนเซ็บการทำธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศจะยึดหลัก 2 ประการ คือ ต้องปรับปรุงให้สะดวกใช้ ดูแลให้ใหม่อยู่ตลอดเวลา เอาใจใส่โปรดักต์การนำวัฒนธรรมยิ้มแย้มแจ่มใส นำจุดแข็งบุคลิกคนตะวันตกที่แข็งแรงฉับไวได้เนื้องานมาก ฝึกเพิ่มรอยยิ้มแบบวัฒนธรรมตะวันออกเข้าไป สามารถใส่วิญญาณสร้างความแตกต่างออกมาเป็นบริการอันโดดเด่น<br />
<br />
ประการที่สอง คือ จ้าง “ผู้จัดการทั่วไป” โดยยอมลงทุนสูงจ้างมืออาชีพซึ่งมีประสบการณ์ทำงานอยู่ในเอเชียหลายสิบปี รู้จักสไตล์การบริหารของเครือบริษัทเป็นอย่างดี จึงสามารถถ่ายทอดไปสู่พนักงานได้มีประสิทธิภาพแผนต่อไปคือ ตั้งแต่ปี 2546 จะยกเครื่อง 4 โรงแรม วงเงิน 4,100.-ล้านบาทคือ<br />
<br />
แลนด์มาร์ค กรุงเทพ ปรับโฉมหน้าใหม่เงินรวม 400 ล้านบาทให้แล้วเสร็จกลางปี 2547 รอยัล แลงแคสเตอร์ ลอนดอน จะใช้เวลา 2 ปี ขยายห้องประชุม ห้องอาหาร และอื่น ๆ ปัจจุบันลูกค้าเข้าพัก 70% เป็นกลุ่มผู้ประชุมจากยุโรป สหรัฐอเมริกา และแลนด์มาร์ค ลอนดอน ก็จะปรับปรุงในทำนองเดียวกัน สุดท้ายคือ เค เวสต์ ลอนดอน เป็นโรงแรมแผนร่วมสมัยเป็นศูนย์รวมของดารา นักดนตรี นายแบบ นางแบบชั้นนำของยุโรป มีความโดดเด่นตรงที่ดัดแปลงจากสำนักงานมาเป็นห้องชุดเพื่อการพัก ขนาดห้อง 45 ตารางเมตร 222 ห้องแต่ละห้องหรูหรา ไฮเทค เหมาะกับตลาดอินเตอร์เทนเนอร์ นักธุรกิจ หนุ่มสาวสมัยใหม่ มีสปาซึ่งใหญ่ที่สุดในลอนดอน และยังมีแผนจะซื้อโรงแรมบูติกในลอนดอนดีก 1 แห่ง <br />
<br />
ทุกภาคส่วนคงเห็นพ้องต้อนกันว่า ยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวเป็นสิ่งที่จำเป็นในการหารายได้เข้าประเทศและจังหวัด กิจการโรงแรมและรีสอร์ทควรเป็นประเด็นใหญ่ที่จะเป็นช่องทางดึงเงินของนักท่องเที่ยวมาสู่จังหวัด คณะผู้บริหารจังหวัดจึงน่าจะพิจารณายุทธศาสตร์ และโครงการแผนงานของเครือโรงแรมดังกล่าว เพื่อวัดรอยเทียบชั้นในโอกาสข้างหน้าต่อไป<br />
<br />
2. สูตรสำเร็จการบริหาร “CONOCO” (คอนอโค) เจ้าของและผู้บริหารสถานีน้ำมัน JET และร้าน JIFFY<br />
<br />
ภายใต้แบรนด์ JET คงไม่ต้องอธิบายอะไรมากและหลายท่านก็นิยมมีกาแฟเย็นปั๊ม JET เป็นเพื่อนเดินทางมานานแล้ว จุดขายหลักของปั๊ม JET คือ เรื่องของความสะดวกสบาย สินค้าหลากหลาย คุณภาพน้ำมันสูง บริเวณที่จอดรถยนต์ การจัดวางระยะแต่ละจุด ระบบเทรนนิ่งพนักงาน ความปลอดภัย ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ทุกปั๊มมีแสตนดาร์ดเดียวกันหมด ความสำเร็จอยู่ที่การ ทำวิจัยเรื่องความต้องการของลูกค้า เรื่องความต้องการของตลาด เรื่องต้นแบบในการบริหาร การบริหารการจัดการเป็นจุดแข็งของบริษัท<br />
<br />
ร้าน JIFFY ประมาณ 30 แห่ง จะปรับปรุงเพิ่มพื้นที่ในส่วนของฟูดเซอร์วิส และเพิ่มไลน์สินค้าในส่วนของเอนเตอร์เทนเมนต์ อาทิ เทป ซีดี ด้วยการจัดเป็นเอาต์เลตเฉพาะภายในร้าน ฟูดเซอร์วิส มีการร่วมมือระหว่างจิฟฟี่และกลุ่มท็อปส์ โดยท็อปส์เป็นผู้ป้อนวัตถุดิบอาหารสด จิฟฟี่เป็นผู้พัฒนารายการอาหารเอง หัวใจความสำเร็จคือการศึกษาวิจัยความต้องการของลูกค้าว่าเป็นใคร ต้องการอย่างไร หลังจากนั้นจึงกำหนดยุทธศาสตร์ให้ดึงลูกค้าเข้ามาใช้จ่ายเงินในเรื่องของน้ำมันคุณภาพดีได้มาตรฐาน ร้านจิฟฟี่ที่โดดเด่น แตกต่างจากร้านอื่นอย่างเห็นได้ชัดเจน ห้องน้ำที่สะอาดพอเพียงกับคนจำนวนมาก จุดพักผ่อนที่ได้รับการตกแต่งภูมิทัศน์สวยงาม บริเวณที่จอดรถยนต์สะดวกสบาย และการบริการที่มีมาตรฐานเหมือนกันทุกสถานีบริการ <br />
<br />
มองกลับมาที่จังหวัด ในวันนี้ คำว่า “ลูกค้า” คงไม่ต้องมาทำการศึกษาวิจัยว่าเป็นใครเพราะผู้นำรัฐบาลบอกไว้ชัดเจนว่าประชาชน คือ ลูกค้า ดังนั้น ภาษาที่พูดเสนอความเห็นในการทำเวิร์กช้อปของผู้เกี่ยวข้องในจังหวัดเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ก็คือ ประชาชนต้องการการบริการที่ดีจากภาครัฐ ต้องการความเป็นธรรมไม่เลือกปฏิบัติ ใฝ่ฝันจะให้ความทุกข์ความยากจนหมดไปจากตนเองและครอบครัว เป็นต้น จึงขอให้กำลังใจแก่ผู้เกี่ยวข้องด้วยการนำเสนอมุมมองของเอกชนชั้นนำซึ่ง น่าจะมีประโยชน์ได้บ้าง<br />
<br />
ขอแถมท้ายบทคือ การถอดแบบ CEO โดย “บุญคลี ปลั่งศิริ” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ใช้ CEO ของกลุ่มชินคอร์ป ใน”การบริหารงาน 3 เรื่อง VISION คือ จุดหมาย เป้าหมาย หรือความมุ่งหมายต่าง ๆ อันเป็นหลักมูลฐานขององค์การที่มีลักษณะมั่นคงถาวร MISSION เป้าหมายขององค์กรไม่จำเป็นต้องมั่นคง ถาวร ยั่งยืนมีลักษณะชั่วคราวเพื่อสนอง Vision และ STRATEGY กลยุทธ์ คือ แนวทางปฏิบัติ”<br />
<br />
ซีอีโอ คือ คนบอกทาง สร้างทีมเวิร์ก เป็นผู้ตัดสินใจและเป็นผู้แก้ปัญหาความขัดแย้ง ต้องตัดสินใจในเรื่อง Subjective ที่ต้องใช้ความคิดของตนเอง การทำงานต้องรักษาสมดุลอยู่เสมอระหว่างนักคิดกับนักปฏิบัติ ข้างบนคิดข้างล่างทำ ต้อง Balance ให้ดี ปรัชญาของคุณบุญคลีฯ คือ “คิดแบบฝรั่ง ทำแบบไทย ต้องคิดให้ทันฝรั่ง ที่ไหนมีความเสี่ยงที่นั่นมีโอกาส”<br />
<br />
ศาสตร์ที่ใช้ในการบริหารมี 3 เรื่อง คือ คุณภาพ เวลาและค่าใช้จ่าย ต้อง Balance ทั้ง 3 ส่วน ซึ่งจะนำไปสู่การตัดสินใจที่มีคุณเป็น 3 มิติที่ต้องบริหารตลอดเวลา และเวลาคิดต้องคิดภาพใหญ่เป็นวงจรที่สุดของกลยุทธ์ในการเป็นซีอีโอ คือ “ไร้ระบบ ไร้รูปแบบ”<br />
<br />
<br />
โดย จักรหัสถ์ โสภณวรคาม<br />
<br />
กลุ่มงานวิจัยและพัฒนา สถาบันดำรงราชานุภาพ สป.so.pncchttp://www.blogger.com/profile/12918364098107477979noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1692319392341407053.post-84163308094254327862009-12-01T23:29:00.000+07:002009-12-01T23:29:43.200+07:00" รวมพลคนปัตตานีปกป้องสถาบัน "<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjJeE3dN00iiFty0sLx65uKhlevxrEIZ7n3-RYqDLbzmoIhGOd5BKdXfLyZiA5SU76L0pBAn3YXpae5-H5ekqKH7oBgRQKHOxaxknk6eV8JgzkHKVZvuFY1t5A-ooorOcLvYdQfpW33jko/s1600/%E0%B8%A7%E0%B8%8A%E0%B8%8A.2.gif" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjJeE3dN00iiFty0sLx65uKhlevxrEIZ7n3-RYqDLbzmoIhGOd5BKdXfLyZiA5SU76L0pBAn3YXpae5-H5ekqKH7oBgRQKHOxaxknk6eV8JgzkHKVZvuFY1t5A-ooorOcLvYdQfpW33jko/s400/%E0%B8%A7%E0%B8%8A%E0%B8%8A.2.gif" yr="true" /></a><br />
</div><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjla0JRqhSIUP6aFt396wEk6JaGXI3afAaYRmlCrcmUEDodPul2k3Jf7C6xxSWCMolBNhu87qZkcuBaMDXnlxByMqbGS5F7LdlyjJAjnfRf99t5UffwCEzowVXb455oReeOOK5uKDVdVp8/s1600/%E0%B8%A7%E0%B8%8A%E0%B8%8A.1.gif" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjla0JRqhSIUP6aFt396wEk6JaGXI3afAaYRmlCrcmUEDodPul2k3Jf7C6xxSWCMolBNhu87qZkcuBaMDXnlxByMqbGS5F7LdlyjJAjnfRf99t5UffwCEzowVXb455oReeOOK5uKDVdVp8/s400/%E0%B8%A7%E0%B8%8A%E0%B8%8A.1.gif" yr="true" /></a><br />
</div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">วันที่ 1 ธันวาคม 2552 เวลา 16.00 น. พสกนิกรชาวปัตตานี ได้ร่วมกันเดินเทิดพระเกียรติ์รณรงค์"ปกป้องสถาบัน" รอบเทศบาลเมืองปัตตานี ประกาศเจตนารมณ์ปกป้องสถาบัน ถวายพระพร และร่วมกันร้องเพลงชาติไทย การแสดงประกอบ พลุ แสง สี ในการนี้วิทยาลัยชุมชนปัตตานี ได้เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ และผมได้ประมวลภาพบางส่วนมาฝาก .......... <br />
</div>so.pncchttp://www.blogger.com/profile/12918364098107477979noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1692319392341407053.post-61919317183930605232009-11-29T19:36:00.000+07:002009-11-29T19:36:28.591+07:00ผองเพื่อนการจัดการ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgOTgtrMxNpsBwy-kcwdYH2y2ZACjO95DGCkHosEQKvnp1xt9UFim9kiMs9gYkmxY9iDrFwyJpbf17hg3KY5kxSRHBVfH3CsSGIZEdCCIyCmATS40IRTOelXj5twNvaRrQyK9eVgWQUx3o/s1600/managment.gif" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgOTgtrMxNpsBwy-kcwdYH2y2ZACjO95DGCkHosEQKvnp1xt9UFim9kiMs9gYkmxY9iDrFwyJpbf17hg3KY5kxSRHBVfH3CsSGIZEdCCIyCmATS40IRTOelXj5twNvaRrQyK9eVgWQUx3o/s320/managment.gif" yr="true" /></a><br />
</div>นักศึกษา ปี1/52 สาขาการจัดการ ผองเพื่อนคนขยัน ฝนตกแดดออกเราก็ไม่หวั่น นี้แหละ วชช.พันธุ์แท้so.pncchttp://www.blogger.com/profile/12918364098107477979noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1692319392341407053.post-74506121948012348422009-11-27T22:01:00.001+07:002009-12-06T19:57:01.705+07:00รัฐธรรมนูญไทยรัฐธรรมนูญไทย<br />
<br />
<br />
วันที่ 10 ธันวาคม ของทุกปี ถือเป็นวันรัฐธรรมนูญของไทย เป็นวันคล้ายวันที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ได้พระราชทาน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม เป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ โดยมีพระปรารภหวังว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะเป็นที่สถาพร มีประสิทธิภาพ เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขของประชาชน และนำให้ประเทศชาติบ้านเมือง บรรลุถึงความเจริญวัฒนา เท่าเทียมนานาประเทศ<br />
<br />
พระราชทานรัฐธรรมนูญ<br />
<br />
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม วันที่ 10 ธันวาคม 2475 ทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญฉบับถาวร สำหรับพระราชทานให้ใช้เป็นกฎหมายสูงสุด ในการปกครองอาณาจักรสยาม ในระบอบประชาธิปไตย <br />
<br />
พระราชทานวโรกาส<br />
<br />
ให้คณะราษฎร ข้าราชการ ทหาร พลเรือนและประชาชน เข้าเฝ้าทูลละอองธุรีพระบาท เสด็จออก สีหบัญชร ณ. พระที่นั่งอนันตสมาคมพระราชวังดุสิต หลังจากทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว <br />
<br />
พิธีสมโภชรัฐธรรมนูญฉบับถาวร<br />
<br />
ในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงตระเตรียมที่จะพระราชทานอำนาจอธิปไตย ให้แก่ราษฎรอยู่แล้ว แต่เมื่อมีคณะราษฏร์แสดงความปรารถนาอย่างแรงกล้า โดยเข้ายึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน ทรงละพระบรมเดชานุภาพลงด้วย ไม่มีพระประสงค์จะให้มีการขัดใจระหว่างชาวไทยด้วยกัน ทรงเสด็จออก ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ทรงถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ ในพิธีสมโภชรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2475 <br />
<br />
รัฐธรรมนูญ<br />
<br />
รัฐธรรมนูญฉบับถาวร ที่ทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 สำหรับให้ใช้เป็นกฎหมายสูงสุด ในการปกครองประเทศสยาม ในระบอบประชาธิปไตย<br />
<br />
ทรงสละราชสมบัติ<br />
<br />
ในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2523 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่9) เสด็จพระราชดำเนิน พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ไปในการพิธีเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ รัฐสภา ซึ่งเป็นที่ฐานพระบรมราชานุสาวรีย์นั้น มีลายจารึกพระราชหัตเรขาจำลอง เมื่อครั้งประกาศสละราชสมบัติ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 <br />
<br />
พระบรมราชานุสาวรีย์<br />
<br />
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเป็นเอกฉันท์ ให้ทรงพระบรมรูป เพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์ ในการที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ปวงชนชาวไทย <br />
<br />
อำนาจนิติบัญญัติ<br />
<br />
เป็นอำนาจในการบัญญัติกฎหมายต่างๆ ซึ่งประชาชนเป็นผู้เลือกผู้แทนของตนเข้าไปเป็นตัวแทนในรัฐสภา ซึ่งเป็นสภาที่มีหน้าที่บัญญัติออกกฎหมายต่างๆ ซึ่งผู้แทนนี้คือ "สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์" <br />
<br />
อำนาจบริหาร<br />
<br />
เป็นอำนาจในการบริหารประเทศ ฝ่ายบริหารซึ่งได้แก่ คณะรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญกำหนด เพื่อวางแผนในการพัฒนาประเทศด้านต่างๆ ที่ทำเนียบรัฐบาล<br />
<br />
อำนาจตุลาการ<br />
<br />
ฝ่ายตุลาการ ทำหน้าที่ตีความกฎหมาย และตัดสินคดีความทั้งทางแพ่งและอาญา ด้วยความยุติธรรม อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงยุติธรรม <br />
<br />
พระที่นั่งอนันตสมาคม<br />
<br />
แต่เดิมในอดีตเป็นสถานที่ที่ใช้ในการประชุมสภา แต่ปัจจุบันนี้จะใช้ในโอกาสกระทำพิธีเปิดประชุมสามัญ ประจำปีสมัยแรก และพระราชพิธีที่สำคัญเท่านั้น <br />
<br />
กระทรวง ทบวง กรมฯ<br />
<br />
หน่วยงานของภาครัฐบาลที่จะต้องทำหน้าที่บริหารงาน ในการพัฒนาความเจริญก้าวหน้าของประเทศ <br />
<br />
การเลือกตั้ง<br />
<br />
คือ กระบวนการที่ประชาชนได้มีส่วนร่วม ในการปกครองประเทศ โดยการเลือกผู้แทนราษฎรของตนเข้าไปในสภา บริหารงานแทนตนใน<br />
baanjomyut.com<br />
<br />
หากต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับประวัติรัฐธรรมนูญไทย สามารถเข้าไปไปที่เว็บไซด์ของสถาบันพระปกเกล้า ที่ <span style="color: blue;"><a href="http://www.kpi.ac.th/">http://www.kpi.ac.th/</a></span> ซึ่งจะอธิบายประวัติความเป็นมาของรัฐธรรมนูญไทย และ <a href="http://www.parliament.go.th/"><span style="color: blue;">www.parliament.go.th</span>/</a> ซึ่งจะรวบรวมรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับไว้ให้ศึกษา อันรวมถึงฉบับแก้ไขเพิ่มเติมด้วย รวม ๓๕ ฉบับ (นับรวมฉบับแก้ไข แต่ฉบับหลักมี ๑๘ ฉบับ นับถึงฉบับ พ.ศ.๒๕๕๐)so.pncchttp://www.blogger.com/profile/12918364098107477979noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1692319392341407053.post-35625362001502293392009-11-26T21:59:00.002+07:002009-11-28T15:38:09.379+07:00กุรบานในอิสลามการกุรบานในอิสลาม<br />
<br />
การกุรบานเป็นอิบาดะฮ์หนึ่งจากอิบาดะฮ์ด้านทรัพย์สินแ<br />
<a name='more'></a>ละเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของอิสลาม ซึ่งจะมีคุณสมบัติพิเศษเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเนื่องจากคุณสมบัติพิเศษนี้เองจึงทำให้การกุรบานเป็นอิบาดะฮ์ที่ความสำคัญและสถานภาพที่สูงส่งอีกอิบาดะฮ์หนึ่ง<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgNinTee105H-cRtaY0QLCzqqh8rq24S8EgWTTS5YArzzfjnYYk8j9PJ0KIRmHUYd5nYUUXmdj18R_ukJgNdKoC1ABFYUXdMLXvkF3y9hCjxG2I_A5Rn96vJjs0wEbpyCg7ctLWUOOBkOk/s1600/%E0%B8%8A1.gif" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgNinTee105H-cRtaY0QLCzqqh8rq24S8EgWTTS5YArzzfjnYYk8j9PJ0KIRmHUYd5nYUUXmdj18R_ukJgNdKoC1ABFYUXdMLXvkF3y9hCjxG2I_A5Rn96vJjs0wEbpyCg7ctLWUOOBkOk/s200/%E0%B8%8A1.gif" yr="true" /></a><br />
</div>ความหมายของกุรบาน<br />
ความหมายตามพจนานุกรม กุรบาน หมายถึง การนำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเป็นสื่อในความใกล้ชิดต่ออัลลอฮ์(ซ.บ) ซึ่งสิ่งนั้นอาจจะเป็นการเชือดสัตว์หรือสิ่งอื่นๆ ก็ได้<br />
<br />
อุลามาอ์บางท่านกล่าวว่า การกระทำทุกๆ ความดีงามที่เหตุให้มุ่งสู่ความใกล้ชิดต่ออัลลอฮ์(ซ.บ) ก็เรียกว่า “การกุรบาน” เช่นกัน<br />
<br />
แต่ตามความเข้าใจของผู้คนทั่วไปจะเรียกการกุรบาน ว่าคือ การนำสัตว์มาเชือดพลีทาน เพื่อความใกล้ชิดต่อพระผู้เป็นเจ้าในวันอีดกุรบาน และคำนี้มีกล่าวไว้หลายครั้งในคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งส่วนมากแล้วจะหมายถึงการเชือดสัตว์พลีทาน<br />
<br />
<br />
ประวัติความเป็นมาของการกุรบาน<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh-RK4KeGI_0BgkXypPkfQhgGTTUKxKfF1bJ_qHG7mUC4LSUlfnTuGptaGrruLLV3Ph1mmbi9qJ79nCM-szemucfgaDlQchV7YZ-JsvY3L443c6iL2Ja89pEN_la9qfAXAHFTc6N-KKAqw/s1600/%E0%B8%8A2.gif" imageanchor="1" style="clear: right; cssfloat: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh-RK4KeGI_0BgkXypPkfQhgGTTUKxKfF1bJ_qHG7mUC4LSUlfnTuGptaGrruLLV3Ph1mmbi9qJ79nCM-szemucfgaDlQchV7YZ-JsvY3L443c6iL2Ja89pEN_la9qfAXAHFTc6N-KKAqw/s200/%E0%B8%8A2.gif" yr="true" /></a><br />
</div>การกุรบานเพื่อความใกล้ชิดต่อพระผู้อภิบาลนั้นได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ยุคของท่านนบีอาดัม(อ.) ผู้เป็นบิดาแห่งมนุษยชาติ เมื่อครั้งที่บุตรทั้งสองของท่าน ฮาบีลได้นำอูฐและกอบีลได้นำข้าวบาเล่ย์มาทำกุรบานต่อพระผู้อภิบาล ซึ่งพระองค์ทรงตอบรับการกุรบานของฮาบีลในครั้งนั้น<br />
<br />
<br />
อัลกุรอานกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ในซูเราะฮ์อัลมาอิดะฮ์ โองการที่ 27 ว่า:<br />
<br />
<br />
<br />
إِذْ قَرَّبَا قُرْبَانًا فَتُقُبِّلَ مِنْ أَحَدِهِمَا وَلَمْ يُتَقَبَّلْ مِنَ الآخَر<br />
<br />
<br />
“ขณะที่ทั้งสองได้กระทำการพลีซึ่งสิ่งพลีอยู่นั้น แล้วสิ่งพลีนั้นก็ถูกรับจากคนหนึ่งในสองคนและมิได้ถูกรับจากอีกคนหนึ่ง”<br />
<br />
หลังจากนั้นเป็นต้นมาศาสนาแห่งพระผู้เป็นเจ้าก็ถือว่าการกุรบาน เป็นอิบาดะฮ์หนึ่ง และเราจะเห็นได้ว่าทุกๆประชาชาติไม่ว่าจะนับถือศาสนาที่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้าหรือไม่ต่างก็นำสัตว์มาเชือดพลีทานหรือนำสิ่งอื่นมาพลีต่อพระผู้เป็นเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของพวกเขา<br />
<br />
<br />
เหตุการณ์การกุรบานครั้งประวัติศาสตร์<br />
การกุรบาน คือสัญลักษณ์หนึ่งของศาสนา และเป็นบัญญัติหนึ่งมาตั้งแต่ยุคสมัยของท่านนบีอาดัม(อ.) แต่เหตุการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ในยุคบุรุษแห่งประวัติศาสตร์ ท่านนบีอิบรอฮีม(อ.) ที่ท่านได้นำ อิสมาอีลบุตรชายคนเดียวของท่านมาทำการกุรบาน และหลังจากได้ผ่านการทดสอบครั้งประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่นี้ ยิ่งทำให้การกุรบานมีความสำคัญและสถานภาพที่สูงส่งยิ่งขึ้นไปอีก เพราะบุคคลิกภาพที่สูงส่งของท่านนบีอิบรอฮีม(อ.) นั้นเป็นที่ยอมรับของศาสนาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอิสลาม ยูดายและคริสต์ และเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญและน่าแปลกยิ่ง ก็เนื่องจากว่าผู้เป็นบิดาได้ทำการกุรบานบุตรชายสุดที่รักคนเดียวของท่าน โดยเหตุการณ์ครั้งได้ถูกกล่าวไว้ในซูเราะฮ์ศอฟฟาต และยังถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์ของชาวคริสต์เช่นกัน<br />
<br />
การกุรบานบุตรชาย<br />
อัลกุรอานกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า:<br />
<br />
<br />
<br />
فَلَمَّا بَلَغَ مَعَهُ السَّعْيَ قَالَ يَا بُنَيَّ إِنِّي أَرَى فِي الْمَنَامِ أَنِّي أَذْبَحُكَ فَانْظُرْ مَاذَا تَرَى قَالَ يَا أَبَتِ افْعَلْ مَا تُؤْمَرُ سَتَجِدُنِي إِنْ شَاءَ اللَّهُ مِنَ الصَّابِرِينَ<br />
<br />
ครั้นเมื่อเขา (อิสมาอีล) เติบโตขึ้นช่วยเหลือตัวเองกับเขา (อิบรอฮีม) ได้แล้ว อิบรอฮีมได้กล่าวขึ้นว่า “โอ้ลูกเอ๋ย! แท้จริงพ่อได้เห็นในขณะฝันว่า พ่อได้เชือดเจ้า จงคิดดูซิว่าเจ้าจะเห็นเป็นอย่างไร?” เขากล่าวว่า “โอ้พ่อจ๋า! พ่อจงปฏิบัติตามที่พ่อได้ถูกบัญชามาเถิด หากอัลลอฮ์ทรงประสงค์ พ่อจะเห็นฉันว่า ฉันอยู่ในหมู่ผู้มีความอดทน” (ซูเราะฮ์ศอฟฟาต โองการที่ 102)<br />
<br />
กล่าวคือเป็นวัยที่อิสมาอีลสามารถช่วยเหลือตัวเองได้แล้วซึ่งนักอรรถาธิบายบางท่านกล่าวว่ามีอายุประมาณ 13 ปี<br />
<br />
ท่านนบีอิบรอฮีม(อ.) ฝันเห็นเรื่องราวอันแปลกประหลาด (ความฝันของบรรดาศาสดาเป็นวะฮ์ยูของพระผู้เป็นเจ้า) ความฝันอันแปลกประหลาดนี้คือจุดเริ่มต้นของการทดสอบที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นบัญชาแห่งพระผู้เป็นเจ้าให้ท่านทำการกุรบานบุตรชายสุดที่รักคนเดียวของท่าน ผู้เป็นบิดาได้เล่าความฝันทั้งหมดให้บุตรชายฟังและนับได้ว่าเป็นบททดสอบที่หนักที่สุดและเป็นบททดสอบสุดท้ายของท่านนบีอิบรอฮีม(อ.)<br />
<br />
<br />
<br />
قَدْ صَدَّقْتَ الرُّؤْيَا إِنَّا كَذَلِكَ نَجْزِي الْمُحْسِنِينَ (105) إِنَّ هَذَا لَهُوَ الْبَلاءُ الْمُبِينُ (106) وَفَدَيْنَاهُ بِذِبْحٍ عَظِيمٍ<br />
<br />
<br />
“แน่นอน เจ้าได้ปฏิบัติถูกต้องตามฝันแล้ว” แท้จริง เช่นนั้นแหละเราจะตอบแทนผู้กระทำความดีทั้งหลาย” แท้จริง นั่นคือ การทดสอบที่ชัดแจ้งแน่นอน และเราได้ให้ค่าไถ่ตัวเขาด้วยสัตว์เชือดพลีอันใหญ่หลวง (ซูเราะฮ์ศอฟฟาต โองการที่ 105)<br />
<br />
พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานแกะตัวใหญ่มาแทนการเชือดอิสมาอีล และได้กลายเป็นแบบฉบับสำหรับประชาชาติในพิธีฮัจญ์ในผืนแผ่นดินมีนานับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา<br />
<br />
ลิขสิทธิ์ © 2009 www.quranrasul.com.so.pncchttp://www.blogger.com/profile/12918364098107477979noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1692319392341407053.post-55080437910181548302009-11-26T15:58:00.004+07:002009-11-28T14:12:52.252+07:00จำนวนครั้งของความสำเร็จ<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">จำนวนครั้งของความสำเร็จ</span><br />
</div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; text-align: left;"><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgE8wsPzoa3vvJl-3OPuqYzERsgv36aB1BeFQ38hOmNIx8bB8767LABT4loj_ctDQXfXlKDc9904rLUDvdEWsv97pinAVNhNIetEQiNAtZcm8AlbBy16OjhZy-7Op2GK6WBxZykTS7SiNg/s1600/p1.gif" imageanchor="1" style="cssfloat: left; margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgE8wsPzoa3vvJl-3OPuqYzERsgv36aB1BeFQ38hOmNIx8bB8767LABT4loj_ctDQXfXlKDc9904rLUDvdEWsv97pinAVNhNIetEQiNAtZcm8AlbBy16OjhZy-7Op2GK6WBxZykTS7SiNg/s200/p1.gif" yr="true" /></span></a><br />
</div><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">นักตรรกศาสตร์จะต้องโต้แย้งว่าที่จุดสิ้นสุดของมาตราส่วน (ค่า 0 และ 1) ไม่มีจริง แต่วิศวกรต้องไม่เห็นด้วยกับข้อนี้เมื่อมองใน</span><br />
</div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"></span><br />
<a name='more'></a><br />
</div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"> ทางปฏิบัติ ตัวอย่างเช่น ความน่าจะเป็นที่คนหนึ่งคนจะมีชีวิตอยู่ได้ตลอดกาลเป็น 0 และความน่าจะเป็นที่คนหนึ่งคนจะต้องตายในวันหนึ่งเป็น 1</span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">จากนิยามของความน่าจะเป็น สามารถเป็นเหตุผลที่จะใช้สันนิษฐานว่ามีเหตุการณ์น้อยมากที่จะไปถึงจุดปลายของมาตราส่วนของความน่าจะเป็น เหตุการณ์ส่วนมากจะมีดรรชนีความน่าจะเป็นอยู่ระหว่างทั้งสองค่านี้ สำหรับเหตุการณ์ซึ่งเป็นไปตามแต่ละแบบนั้นจะมีผลลัพธ์ที่เป็นไปได้อย่างน้อย2แบบอันแรกสามารถพิจารณาเป็นผลลัพธ์ที่ต้องการหรือสำเร็จ = success และอีกอันคือล้มเหลว = failure สำหรับเหตุการณ์ที่มีผลลัพธ์ที่เป็นไปได้มากกว่าสอง ส่วนมากจะสามารถรวมผลลัพธ์ที่เป็นความสำเร็จไว้ด้วยกัน และรวมผลลัพธ์ที่เป็นความล้มเหลวไว้ด้วยกัน การจัดกลุ่มผลลัพธ์ในวิธีนี้จะสามารถสร้างกลุ่มย่อย (subset) ของผลลัพธ์จากกลุ่มที่สมบูรณ์ของผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ ทำให้สามารถพิจารณาความน่าจะเป็นของความสำเร็จและความล้มเหลวได้ดังนี้</span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">P (สำเร็จ) = จำนวนครั้งของความสำเร็จ</span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"> จำนวนผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ทั้งหมด</span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">P (ล้มเหลว) = จำนวนครั้งของความล้มเหลว </span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"> จำนวนผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ทั้งหมด</span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">ดังนั้น ถ้ากำหนดให้ s = จำนวนวิธีที่ผลสำเร็จสามารถเกิดขึ้นได้ </span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">และ f = จำนวนวิธีที่ผลล้มเหลวสามารถเกิดขึ้นได้</span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">P(สำเร็จ) = p = s</span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">s+f</span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">P(ล้มเหลว) = q = f</span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">s+f</span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">และ p+q = 1</span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">แล้วกับชีวิตของคนธรรมดาอย่างเราล่ะ ความน่าจะเป็นสำหรับเรา ต้องมีอะไรมาเกี่ยวข้องบ้าง ถ้าไม่สำเร็จ มันจะมีค่าเท่ากับความล้มเหลวเสมอไปรึเปล่า ??? </span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">กับเรื่องบางเรื่อง ที่เรามองเห็น และลงมือตัดสินว่า P (ล้มเหลว) = 1 นั่นหมายความว่าเรากำหนดอีกค่าหนึ่ง คือ P (สำเร็จ) = 0 ตั้งแต่ที่เรายังไม่ลงมือทำอะไรเลยด้วยซ้ำ</span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">ถ้า ณ วันนี้ เราตัดสินไปแล้วจนทำให้เราละทิ้งความน่าจะเป็นที่จะสำเร็จไป วันข้างหน้าเราจะเสียใจกับมันหรือไม่ หากวันหนึ่งเราพบว่า ความน่าจะเป็นที่จะสำเร็จนั้น มันมีค่าเท่ากับ 0.99 แต่ ณ เวลานั้น เรากลับไม่ได้ยืนอยู่ในพื้นที่ที่เราจะได้สัมผัสความน่าจะเป็นที่จะสำเร็จนั้นแล้ว ทางเลือกเรามีแค่ 0.01 เราจะยอมรับมันได้มากแค่ไหน </span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">ถ้าวันนี้ เรายังสัมผัสกับคำว่า “เป็นไปได้” อยู่ เราก็ต้องทำให้มันเป็นไปได้ ทิ้งคำว่าเป็นไปไม่ได้ ออกไป ทำสิ่งที่เราเรียกว่าเป็นไปได้ ให้ดีที่สุด </span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">อย่าใช้คำว่า <strong>“เป็นไปไม่ได้”</strong> มาตัดสินอนาคต เพราะบางทีทางเลือกของความน่าจะเป็นที่จะสำเร็จ ที่มีค่าเท่ากับ 0.01 อาจจะเป็นทางเลือกเดียวที่รอเราอยู่ ก็ได้..... ใครจะรู้</span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"> </span><br />
</div><div align="left" style="text-align: center;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
</span><br />
</div><div align="left" style="text-align: center;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"></span><br />
</div><div align="left" style="text-align: center;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
</span><br />
</div><div align="left" style="text-align: center;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"></span><br />
</div><div align="left" style="text-align: center;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
</span><br />
</div><div align="left" style="text-align: center;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"></span><br />
</div><div align="left" style="text-align: center;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
</span><br />
</div><div align="left" style="text-align: center;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"></span><br />
</div><div align="left" style="text-align: center;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
</span><br />
</div><div align="left" style="text-align: center;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"></span><br />
</div><div align="left" style="text-align: center;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"></span><br />
</div><div align="left" style="text-align: center;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
</span><br />
</div><div align="left"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"></span><br />
</div>so.pncchttp://www.blogger.com/profile/12918364098107477979noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1692319392341407053.post-18869217522881864742009-11-20T18:13:00.009+07:002009-11-28T14:15:58.998+07:00แนวคิดธุรกิจอิสลาม<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"></span><br />
<div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"> <span style="font-size: large;"> แนวคิดธุรกิจอิสลาม</span></span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"> مفاهيم التجارة الإسلامية<br />
</span><br />
<div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"> ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ </span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
</div><div style="text-align: left;"><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"> แนวคิดธุรกิจอิสลาม (Islamic Business Concepts) </span><br />
</div><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">อิสลามให้ความสำคัญกับระบบเศรษฐกิจที่เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตอิสลามที่มีความสมบูรณ์และครอบคลุม และกิจกรรมทางธุรกิจต่างๆ ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในระบบเศรษฐกิจนั้น อัลลอฮฺ</span><br />
<a name='more'></a><span style="font-family: Times New Roman;"> </span>ทรงบัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่าทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างในโลกนี้ก็เพื่อเป็นประโยชน์และสร้างความสะดวกสบายแก่มวลมนุษย์ ในหลักการของอิสลามการประกอบธุรกิจเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการบรรลุเป้าหมายข้างต้น ท่านศาสนทูต ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า<br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"></span><br />
<br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">«مَنْ نَفَّسَ عَنْ مُؤْمِنٍ كُرْبَةً مِنْ كُرَبِ الدُّنْيَا نَفَّسَ اللهُ عَنْهُ كُرْبَةً مِنْ كُرَبِ يَوْمِ الْقِيَامَةِ وَمَنْ يَسَّرَ عَلَى مُعْسِرٍ يَسَّرَ اللهُ عَلَيْهِ فِى الدُّنْيَا وَالآخِرَةِ» (رواه مسلم)</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">ความว่า "ผู้ใดที่ปลดเปลื้องทุกข์ใดๆ ของผู้ศรัทธาคนหนึ่งจากความทุกข์ยากในโลกดุนยา อัลลอฮฺจะปลดเปลื้องหนึ่งความทุกข์ให้กับเขาจากความทุกข์ยากทั้งหลายในอาคิเราะฮฺ และผู้ใดที่อำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่ลำบาก อัลลอฮฺจะทรงทำให้เขาพบความสะดวกง่ายดายในดุนยาและอาคิเราะฮฺ” (มุสลิม)</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">นอกจากอิสลามได้กำหนดให้การทำธุรกิจเป็นฟัรดูกีฟายะฮฺ ที่อย่างน้อยมุสลิมคนหนึ่งในชุมชนต้องปฏิบัติแล้ว อิสลามได้ให้สัญญาว่าผู้ทำธุรกิจจะได้รับรายได้มหาศาล ดังนั้นธุรกิจจัดว่าเป็นเครื่องมือหรือแนวทางที่ดีในการแสวงหาทรัพย์สินสมบัติ บรรลุความสำเร็จ สร้างสถานภาพทางสังคม และได้รับการยอมรับ อัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา กล่าวไว้ในอัล-กุรอานว่า</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">«وَأَحَلَّ اللهُ الْبَيْعَ وَحَرَّمَ الرِّبَا» (البقرة : 275 )</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">ความว่า “และอัลลอฮฺได้อนุมัติการค้าและห้ามดอกเบี้ย” (อัล-บากอเราะฮฺ 2: 275)</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">ท่านศาสนทูต ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">«عليكم بالتجارة فإن فيها تسعة أعشار الرزق» (مرسل، تخريج الإحياء للعراقي 2 /79)</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">ความว่า “สูเจ้าจงมีส่วนร่วมในธุรกิจ เพราะเก้าจากสิบส่วนของแหล่งรายได้มาจากกิจกรรมทางธุรกิจ” (หะดีษมุรสัล, ดู ตัครีจญ์ อัล-อิหฺยาอ์ ของ อัล-อิรอกีย์ 2/79)</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">และท่านศาสนทูตเคยตอบคำถามเกี่ยวกับชนิดของงานที่ดีที่สุดว่า </span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">«عمل الرجل بيده، وكل بيع مبرور» (رواه البزار وصححه الحاكم)</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">ความว่า “งานที่ทำด้วยมือของพวกท่านเองและการซื้อขายทุกรูปแบบที่ถูกต้องและได้รับความโปรดปรานจากอัลลอฮฺ” (รายงายโดยอัล-บัซซาร และ วินิจฉัยว่าเศาะฮีหฺโดย อัล-หากิม)</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">เป็นที่ทราบกันดีว่า การเดินทางไปทำหัจญ์ ณ นครมักกะฮฺนั้นเป็นหนึ่งในรุก่นหรือเสาหลักของอิสลาม อย่างไรก็ตามการค้าขายในช่วงเวลาดังกล่าวก็ยังเป็นที่อนุมัติ นั้นก็ชี้ให้เห็นถึงความกรุณาปรานีของอัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา และยังแสดงให้เห็นถึงความสูงส่งของการค้าขายอีกด้วย อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้ตรัสไว้ในอัล-กุรอานว่า</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">«لَيْسَ عَلَيْكُمْ جُنَاحٌ أَن تَبْتَغُواْ فَضْلاً مِّن رَّبِّكُمْ» (البقرة : 198 )</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">ความว่า “ไม่มีโทษใดๆ แก่พวกเจ้า การที่พวกเจ้าจะแสวงหาความกรุณาอย่างหนึ่งอย่างใดจากพระเจ้าของพวกเจ้า” (อัล-บากอเราะห์ 2: 198) </span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">อันที่จริงแล้วอัล-กุรอานได้กล่าวถึงผู้ที่เดินทางเพื่อการค้าในอายะฮฺเดียวกับผู้ที่ต่อสู้ในหนทางของอิสลาม อัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ได้ดำรัสไว้ว่า</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">«وَآخَرُونَ يَضْرِبُونَ فِي الْأَرْضِ يَبْتَغُونَ مِن فَضْلِ اللهِ وَآخَرُونَ يُقَاتِلُونَ فِي سَبِيلِ اللهِ» (المزّمِّل : 20 )</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">ความว่า “...และบางคนอื่นต้องเดินทางไปในดินแดนอื่นเพื่อแสวงหาความโปรดปรานของอัลลอฮฺ และบางคนอื่นต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ...” (อัล-มูซซัมมิล 73: 20) </span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"> ดังนั้นไม่เป็นเรื่องที่น่าฉงนแต่อย่างใดหากการทหารที่เข้มแข็งทำให้อิสลามขยายกว้างไกลไปถึงตะวันออกกลาง ยุโรปตอนใต้ แอฟริกาเหนือ และส่วนหนึ่งของเอเซียกลาง ในขณะที่พ่อค้าวาณิชมุสลิมสามารถเผยแผ่อิสลามจนถึงคาบสมุทรมาลายู และส่วนหนึ่งของประเทศจีนตอนเหนือ โดยอาศัยการค้าขายเป็นเครื่องมือที่สำคัญ</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">จากการเกริ่นนำข้างต้น มุสลิมจึงจำเป็นต้องรู้ว่าแนวคิดทางธุรกิจที่อิสลามได้ให้ไว้มีอะไรบ้าง พร้อมทั้งสามารถนำแนวคิดไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ </span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">แนวคิดทางธุรกิจในอิสลามที่สำคัญข้อแรก คือ ธุรกิจมีบทบาทที่สำคัญทางเศรษฐกิจ สังคม และศาสนา นักธุรกิจมุสลิมที่ดำเนินธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์ นอกจากจะได้รับความเจริญงอกงามทางด้านเศรษฐกิจและทำให้สังคมมีความสมักสมานสามัคคีแล้ว ยังทำให้เขาได้ใกล้ชิดอัลลอฮฺมากยิ่งขึ้นด้วย ธุรกิจที่ซื่อสัตย์มีส่วนช่วยให้อิสลามเป็นศาสนาที่สามารถนำสู่การปฏิบัติ มุ่งสู่การพัฒนา และยุติธรรมที่ยั่งยืนสำหรับมนุษยชาติได้อย่างดีอีกทางหนึ่ง</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">แนวคิดธุรกิจอิสลามข้อที่สอง เป็นผลพวงมาจากแนวคิดข้อแรก นั่นคือ การทำธุรกิจเป็นการให้บริการมวลมนุษย์ที่สำคัญมาก ในธุรกิจอิสลามการแสวงหากำไรต้องมีสมดุลกับการให้บริการที่ดีมีประสิทธิภาพ เป็นที่เชื่อถือได้และเป็นประโยชน์ มีคุณภาพ และมีราคาที่เหมาะสมแก่ผู้บริโภค</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">แนวคิดการให้บริการในอิสลามมีความหมายมากกว่าความจำเป็นที่จะให้บริการผู้บริโภค กิจกรรมธุรกิจในอิสลามยังต้องสร้างผลประโยชน์อื่นๆอีก ดังจะกล่าวเป็นข้อๆ ต่อไปนี้</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">1. สร้างโอกาสในการจ้างงานให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไม่ว่าจะเป็นงานในตำแหน่ง ผู้จัดการ เจ้าหน้าที่บริหาร และพนักงาน</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">2. สร้างช่องทางธุรกิจแก่ผู้ที่มีความสามารถทางการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">3. ทำให้มีการบริจาคสำหรับผู้ยากไร้ในชุมชน</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">4. ทำให้เกิดแหล่งที่มาของภาษีธุรกิจและภาษีอื่นที่มีความจำเป็นสำหรับรัฐ ทั้งนี้เนื่องจากนักธุรกิจมุสลิมจ่ายภาษีต่างๆ ด้วยความซื่อสัตย์และตรงเวลา</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">เพราะฉะนั้นธุรกิจในอิสลามมีพื้นฐานที่สำคัญ คือ </span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">1. เป็นแหล่งที่มาของรายได้เพื่อสร้างความสะดวกสบายแก่ชีวิตตัวเองและครอบครัว</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">2. เป็นแนวทางในการจัดหาสินค้าที่ผู้บริโภคและสังคมต้องการ</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">3. เป็นเครื่องมือในการแลกเปลี่ยนสินค้าและการบริการที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">4. ทำให้เกิดการสร้างงาน ดังที่ได้รับการยอมรับกันโดยทั่วไปว่าองค์การภาคเอกชนในเศรษฐกิจแบบตลาดเปิดสามารถสร้างงานได้มากกว่าองค์การภาครัฐ ในอิสลามนั้นการหารายได้ด้วยความสามารถของตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่วาญิบ (จำเป็น) เป็นหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ นั่นหมายความว่าเขาสามารถสร้างงานแก่คนในสังคม และจะได้รับความโปรดปราณจากอัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา อีกด้วย</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">5. ธุรกิจสามารถสร้างโอกาสในการสร้างงานให้ตัวเอง ถ้าหากว่าเขาผู้นั้นมีความสนใจและพร้อมที่จะรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการประกอบธุรกิจได้ ดังนั้นมุสลิมที่ไม่สามารถหางานอื่นทำได้อาจสร้างงานให้ตัวเองด้วยการทำธุรกิจ และอัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้สัญญาที่จะให้ความสำเร็จแก่ทุกๆ คนที่ทำงานอย่างหนัก และมีความพยายามในการประกอบอาชีพ</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">อิสลามได้กล่าวถึงการซื้อขายในหลายๆโอกาส อัล-กุรอานได้ให้ความหมายของการซื้อขายไว้ชัดเจนว่า</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">«يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُواْ لاَ تَأْكُلُواْ أَمْوَالَكُمْ بَيْنَكُمْ بِالْبَاطِلِ إِلاَّ أَن تَكُونَ تِجَارَةً عَن تَرَاضٍ مِّنكُمْ» (النساء : 29 )</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">ความว่า “ผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงอย่ากินทรัพย์ของพวกเจ้าในระหว่างพวกเจ้าโดยมิชอบ นอกจากมันจะเป็นการค้าที่เกิดจากความพอใจของทั้งสองฝ่าย...” (อัล-นิสาอ์ 4: 29)</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">ดังนั้นแนวคิดที่สำคัญอันที่สามของธุรกิจอิสลามได้แก่ การทำให้เกิดความพึงพอใจและความเห็นชอบของทั้งสองฝ่าย ผู้ซื้อและผู้ขาย </span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">นั่นก็หมายความว่าทุกๆ การซื้อขายที่ถูกกฎหมายนั้นต้องมีความยุติธรรม และ ความดีงาม ซึ่งผู้ซื้อและผู้ขายต้องได้รับผลประโยชน์และความพึงพอใจ ในขณะเดียวกัน ผู้ผลิต พ่อค้าคนกลาง และผู้ขาย ก็ต้องพยายามที่จะไม่ให้ผู้บริโภคต้องขาดทุนอย่างเด็ดขาด การขาดทุนในที่นี้อาจจะเกิดจาก</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">1. ต้องซื้อสินค้าที่พวกเขาไม่ต้องการ หรือไม่ต้องการจำนวนมาก</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">2. ต้องซื้อเนื่องจากข้อเสนอที่ว่าสินค้ามีคุณภาพดีกว่า หรือราคาต่ำกว่า</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">3. ต้องซื้อเนื่องจากกลัวว่าสินค้าจะขาดตลาด หรือราคาจะสูงขึ้นในอนาคตอันใกล้</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">แม้ว่าอิสลามได้ให้สัญญาถึงผลประโยชน์มหาศาลที่นักธุรกิจที่ประสบผลสำเร็จจะได้รับแล้ว อิสลามก็ได้ตักเตือนถึงโอกาสมากมายที่นักธุรกิจมีที่จะหลอกลวงลูกค้า ท่านศาสนทูต ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้บอกเล่าและตักเตือนในเวลาเดียวกันว่า </span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">«إِيَّاكُمْ وَكَثْرَةَ الْحَلِفِ فِي الْبَيْعِ، فَإِنَّهُ يُنَفِّقُ ثُمَّ يَمْحَقُ» (رواه مسلم) </span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">ความว่า “จงออกห่างจากการนำเสนอที่ไม่ถูกต้องในการซื้อขายด้วยการชอบสาบานบ่อยๆ เนื่องจากมันจะทำให้เกิดการขายที่มากขึ้น (ในระยะแรก) แต่จะทำให้ขาดทุนหลังจากนั้น” (มุสลิม)</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">«التَّاجِرُ الصَّدُوقُ الْأَمِينُ مَعَ النَّبِيِّينَ وَالصِّدِّيقِينَ وَالشُّهَدَاءِ» (رواه الترمذي)</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">ความว่า “นักธุรกิจที่มีความซื่อสัตย์จะมารวมกัน (ในวันสิ้นโลก) กับศาสนทูต ผู้ที่มีสัจจะ และเหล่าชุฮะดาอ์ผู้ที่เสียชีวิตเพราะการต่อสู้ในหนทางอิสลาม” (อัต-ติรมิซีย์)</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">แนวคิดธุรกิจอิสลามที่สำคัญข้อที่สี่ คือ ความจำเป็นต้องมีความซื่อสัตย์ในการทำการค้าทั้งหมด ทั้งนี้เพื่อที่จะได้รับความโปรดปรานจากอัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ความซื่อสัตย์ในการค้าขายเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นที่จะทำให้การค้าขายนั้นๆ ผู้ซื้อและผู้ขายได้รับความพึงพอใจ และมีความเห็นชอบ </span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">แนวคิดธุรกิจอิสลามข้อที่ห้า คือ คำกล่าวของศาสนทูต ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่ว่า “อัลลอฮฺเป็นผู้กำหนดราคา” ผ่านกลไกทางการตลาด ของอุปสงค์ และอุปทาน แนวคิดนี้เป็นที่ยอมรับในโลกตะวันตกเช่นกัน อย่างไรก็ตามนักเศรษฐศาสตร์ตะวันตกเห็นพลังของอุปสงค์ และอุปทานผ่าน “มือที่มองไม่เห็น” แต่ในอิสลามเห็นว่านั้นเป็นความต้องการของอัลลอฮฺ ดังนั้นการเข้าไปก้าวก่ายกลไกของตลาดและการแข่งขันอย่างเปิดเผยไม่สามารถจะรับได้ในอิสลาม</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">ด้วยเหตุนั้นอิสลามได้นำเสนอกรอบแนวคิดธุรกิจมานานกว่า 14 ศตวรรษ ในห้วงเวลาที่ธุรกิจในโลกที่ไม่ใช่มุสลิม ไม่มีการวางกฎเกณฑ์ เต็มไปด้วยทุจริต และการเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">เป็นที่น่าสนใจว่าหลังจากโลกตะวันตกได้มีบทบาทในโลกธุรกิจ และ ได้มีการนำเสนอแนวคิดทางธุรกิจอย่างมากมาย ธุรกิจในปัจจุบันยังเต็มไปด้วยการหลอกลวงและการเอารัดเอาเปรียบ ทั้งๆ ที่ได้มีการวางกฏเกณฑ์ที่เข้มงวดก็ตามที แน่นอนที่เดียวเหตุผลก็คือ แนวคิดธุรกิจของตะวันตกขาดความเข้าใจถึงจุดอ่อนและจุดแข็งของมนุษย์อย่างลึกซึ้งนั่นเอง ในขณะที่ธุรกิจของโลกตะวันตกตั้งอยู่บนพื้นฐานของกำไรทางการเงินเป็นสำคัญ ธุรกิจอิสลามนั้นตั้งอยู่บนพื้นของทั้งกำไรทางการเงินและทางจิตวิญญาณ ธุรกิจตะวันตกให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์และการบริการที่ดีในระดับหนึ่ง ธุรกิจอิสลามตั้งอยู่บนพื้นฐานความซื่อสัตย์ที่สมบูรณ์ และการบริการที่ดีเลิศ</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">ดังนั้นแนวคิดธุรกิจอิสลามยังเหมาะสมกับการแก้ปัญหาจริยธรรมธุรกิจของโลกปัจจุบัน นี่เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่ว่าอิสลามเป็นศาสนาที่มีพลวัต สามารถนำสู่การปฏิบัติได้จริง และมีความทันสมัยอยู่เสมอ</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">หากว่าแนวคิดต่างๆ ของธุรกิจอิสลามได้รับการปฏิบัติอย่างทั่วถึง แน่นอนทีเดียวมันจะทำให้เกิดความเจริญทางเศรษฐกิจ และที่สำคัญกว่านั้น คือ ความสุขสันติของมนุษยชาติ เนื่องจากว่าอิสลามสนับสนุนให้มุสลิมทำธุรกิจอย่างจริงจัง อาจเป็นสาเหตุให้มุสลิมใช้เวลาทั้งหมดของพวกเขาในการบริหารรธุรกิจ และแสวงหากำไรและความมั่งคั่ง จนเขาอาจลืมอัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา และทำให้เขาลืมหน้าที่ของเขาต่อลูกค้า และชุมชนโดยรวม อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ให้ความสำคัญกับปัญหาดังกล่าว ด้วยการสรรเสริญนักธุรกิจที่มีความยึดมั่นต่ออิสลามว่า</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">«رِجَالٌ لَّا تُلْهِيهِمْ تِجَارَةٌ وَلَا بَيْعٌ عَن ذِكْرِ اللهِ وَإِقَامِ الصَّلَاةِ وَإِيتَاء الزَّكَاةِ يَخَافُونَ يَوْماً تَتَقَلَّبُ فِيهِ الْقُلُوبُ وَالْأَبْصَارُ» (النور : 37 )</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;">ความว่า “บรรดาชายผู้ที่การค้าและการขายมิได้ทำให้พวกเขาหันห่างออกจากการรำลึกถึงอัลลอฮฺและการดำรงละหมาด และการจ่ายซะกาต เพราะพวกเขากลัววันที่หัวใจและสายตาจะเหลือกลานในวันนั้น” (อัล-นูร 24: 37)</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"> <span style="font-size: small;">อิสมาอีล อบูบักรฺ ผู้ตรวจทาน : ซุฟอัม อุษมาน</span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"> 2009 - 1430</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"> islamhouse.com</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
<span style="font-size: large;"></span></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif; font-size: large;"></span><br />
<br />
</div>so.pncchttp://www.blogger.com/profile/12918364098107477979noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1692319392341407053.post-55632411285935164482009-11-20T12:12:00.008+07:002009-11-26T19:13:31.976+07:00ทุกข์ สุข อยู่ที่ตัวเรา<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><span style="color: black;"></span></span><br />
<span style="color: black;"></span><span style="color: black; font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">ทุกข์ สุข อยู่ที่ตัวเรา<br />
เป็นเรื่องที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าในปัจจุบันนี้ ผู้คนทั้งหลายแหล่ที่เดิน</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">ตามถนนต่างก็พากันแข่งขันที่จะไปให้ถึงจุดหมาย บ้างก็ล้มลุกคลุกคลาน</span><br />
<a name='more'></a> บ้างก็ยอมที่เยียบย่ำผู้อื่นขึ้นมาเพื่อความปรารถนาของตน จนบางครั้งลืมมองถึงสิ่งที่เราทั้งหลายควรจะพึงปฏิบั ติ หรือมอบให้กันและกันหรือมอบให้กับตนเอง คนบางคนแข่งขันกันให้ได้มาเพื่อความสุขที่ตนปรารถนาและปรดเปรื่องความทุกข์ที่ตนไม่พึงประสงค์ออกไป แต่หารู้ไม่ว่าการที่เรายิ่งแข่งขันกันเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ ยิ่งแต่จะทำให้เราเหนื่อยล้าเคร่งเครียดและผลสุดท้ายต้องล้มเหลวกันไปตามๆกัน มนุษย์คนเราถูกสร้างมาให้มีสติปัญญาเป็นสัตว์ที่ทรงความคิดที่สุด และมากไปด้วยความสามารถ แต่กระนั้นเลยมนุษย์ก็ยังมิวายหาสิ่งต่างๆมาทำร้ายตน อันที่จริงความทุกข์ความสุขทั้งหลายแหล่นั้นมันเป็นแค่นามธรรม สิ่งสมมุติฐานที่มนุษย์ก่อตั้งและคิดกันไปเองกันเกือบทั้งนั้น ความสุขคนเราทั้งหลายไม่ได้อยู่ที่สิ่งหนึ่งสิ่งได แต่มันกลับแฝงอยู่ในตัวเราแอบซ้อนอยู่ข้างตาเราแต่เรากลับเลือกที่จะมองไม่เห็นมัน<br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">เอกองค์อัลลอฮฺ ได้ทรงประทานอากาศให้เราหายใจ ได้ทรงประทานปัจจัยยังชีพต่างๆได้ทรงอำนวยความสะดวกต่างๆแก่เหล่ามนุษย์ แต่ไฉนเลยมนุษย์ก็กลับวิ่งที่จะหาความสุขอื่นนอกเหนือจากที่พระองค์ทรงยิบยื่นให้ ไขว่คว้าหาสิ่งอื่นๆมาเติมเต็มแก่ชีวิตตนจนลืมมองว่าถูกผิด ลองคิดดูสิว่าทุกเช้าที่เราตื่นมาแล้วเรายังหายใจอยู่เรายังได้เห็นหน้าคนที่เรารัก ยังมีอาหาร มีปัจจัยต่างๆให้แก่เราอยู่ เราเคยคิดที่ว่าสิ่งเหล่านี้มีค่ามากมายบ้างไหม เคยคิดที่พูดกับตนเองไหมครับว่าเราพอใจกับสิ่งที่ตนมี</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">ความสุขความทุกข์อยู่ที่ตัวเรา หากเราไม่ทำตัวให้มีความสุข แล้วใครจะมาทำให้เราเป็นสุขได้ บางคนมีความทุกข์สั่งสมอยู่ในใจมากมายเห็นไอ้นั้นก็ทุกข์ เห็นไอ้นี้ก็ทุกข์ เห็นอะไรๆก็เป็นทุกข์ไปหมด จนมองไม่เห็นความสุขที่อยู่ข้างหน้าตน จำไว้นะครับความทุกข์มีให้เห็นไม่ได้มีไว้ให้เป็น เห็นทุกข์แล้วต้องทำความเข้าใจอย่าปล่อยให้มันเป็นแผลเน่าเกาะกินใจเรา อย่ามัวแต่คิดว่าตนคือคนที่โชคร้ายสุดๆหรือเจออะไรที่เลวร้ายสุดๆ อย่าลืมนะครับว่ายังมีคนที่เลวร้ายกว่าเราอีกเยอะแยะ แต่ทำไมเขากลับไม่คิดมากอย่างคุณหรือเรา จะอะไรกันหนักหนากับปัญหา ชีวิตเราก็มีไม่มากจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นหมั่นทำดีกับคนที่เรารักและขอบคุณอัลลอฮฺ ที่ยังมีให้โอกาสเรามีชีพยืนยงอยู่ทุกวันนี้ จะสุขจะทุกข์มันอยู่ที่ตัวคุณจริงๆไม่มีใครทำให้เราได้เว้นแต่เราต้องการจะมีมัน ยิ้มสู้ต่อวันข้างหน้า เพราะอัลลอฮฺจะอยู่ข้างคนที่ไม่ยอมแพ้ และพร้อมจะสู้ต่อไป</span>so.pncchttp://www.blogger.com/profile/12918364098107477979noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1692319392341407053.post-90098541134529065762009-11-20T12:00:00.012+07:002009-11-26T19:13:31.978+07:00คิดบวก (positive thinking)<span style="color: black; font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"></span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><span style="color: black;"></span><span style="color: black;"></span><span style="color: black;"></span></span><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEizLATNb2MLXIyBuBrO8tpetVCu94ZDsKx-GOOPEE12Lljz3obCitu_f9FWI51UPEUaiLMsU2oAozPjg5QiVTA-jIOZrQzHOP9oNFGwJ5gMydBq1PHBM9FBQRosxwolRzQ5wcjv266snDU/s1600/drug5+copy.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEizLATNb2MLXIyBuBrO8tpetVCu94ZDsKx-GOOPEE12Lljz3obCitu_f9FWI51UPEUaiLMsU2oAozPjg5QiVTA-jIOZrQzHOP9oNFGwJ5gMydBq1PHBM9FBQRosxwolRzQ5wcjv266snDU/s200/drug5+copy.jpg" yr="true" /></a><br />
</div><span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">(Positive Thinking)</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">การ ที่คนเราจะประสบความสำเร็จในชีวิตไม่ว่าจะเป็นในด้านการงาน , อาชีพ หรือครอบครัวนั้น อาจต้องอาศัยมูลเหตุ</span><br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">สำหรับผมคิดว่า การคิดบวก ( Positive Thinking ) ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนเราประสบความสำเร็จได้เช่นเดียวกัน หลายคนอาจจะมีคำถาม ว่าทำไมการคิดบวกจึงมีส่วนช่วยให้เราประสบความสำเร็จ ตามทัศนะของผมเอง มีความเห็นว่า การคิดบวกในสถานการณ์ต่าง ๆ มักทำให้เราเห็นโอกาสที่แฝงอยู่ในวิกฤตเสมอ ทำให้เราสามารถนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ตนเองได้ทุก ๆ สถานการณ์ ทำให้เกิดความสบายใจ และเป็นสุข เป็นการเปลี่ยนมุมมองความคิดที่ต่างจากคนทั่วไป เช่น</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">"เวลาเราเจองานหนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ"</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">หรือ</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">"เวลาเจอความทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต"</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">เป็นต้น</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">"การคิดบวก" เป็นสิ่งที่คนเราสามารถที่จะนำมาปฏิบัติได้ไม่ยากมากนัก แต่สิ่งที่อาจเป็นปัญหาสำหรับหลาย ๆ คน ก็คือ จะทำอย่างไรให้สามารถที่จะคิดบวกได้ทุกขณะที่เกิดปัญหา หรือเหตุการณ์ต่างๆ อันไม่พึงประสงค์ ในชีวิตของเรา เพราะโดยธรรมชาติของคนเราที่ยังฝึกฝนตนเองได้ไม่ดีพอ มักจะคิดไปในทางลบ หรือ ทำลาย มากกว่า ทางบวก หรือ สร้างสรรค์</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">มีคำกล่าวตามพุทธภาษิตที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ พอจะสรุปได้ความดังนี้</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">"จิตนี้ประภัสสร คือ มีความสะอาด สว่าง และสงบ แต่ที่จิตนี้มีความทุกข์ ความเศร้าหมอง เกิดจากความไม่รู้ในความเป็นจริง และกำลังของสติมีไม่พอ เมื่อมีสิ่งใดเข้ามากระทบย่อมเกิดความทุกข์" ซึ่งนั่นก็หมายความว่า จิตใจของคนเราโดยเนื้อแท้ เป็นจิตที่บริสุทธิ์ แต่ที่คิดไม่ดี เกิดจากความไม่รู้ หรือ ขาดสติ จึงทำให้คิดบวกไม่ทัน ประกอบกับบางคนที่สั่งสมแต่การคิดร้าย ไม่สร้างสรรค์ อันอาจจะเกิดจากการที่ได้รับประสบการณ์ชีวิต การงาน อาชีพที่ผ่านมาไม่ดีซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงไม่อาจที่จะคิดบวกได้ง่าย แล้วจะแก้ไขได้อย่างไรดีล่ะ ? ถ้ายังอยากจะแก้ไขตัวเองอยู่ ผมมีเทคนิคดีๆ ที่น่าสนใจ คือ "การแก้ไขที่จิตใต้สำนึก" เป็นเทคนิคง่ายๆ ที่สามารถปฏิบัติแล้วเห็นผลได้จริง</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">คนเรามักจะไม่ค่อยรู้ หรือ สังเกตความคิดของตนเอง ว่าในขณะที่เรากำลังพูด หรือ สื่อสาร (ในใจ) กับตัวเอง ซึ่งมีเกือบตลอดเวลา หลังจากได้รับข้อมูลผ่านเข้ามา ทั้งจาก ทางตา หู จมูก ลิ้น การสัมผัส และผุดขึ้นภายในจิตใจ ซึ่งมีทั้งความคิดที่ดี หรือไม่ดี สร้างสรรค์ หรือ ทำลาย สิ่งเหล่านี้ก็จะถูกบันทึกในจิตใต้สำนึกของเราเสมอ ซึ่งตัวจิตใต้สำนึกของเราไม่สามารถแยกแยะ หรือ เลือกที่จะเก็บความคิดที่ดีเพียงอย่างเดียวได้ เมื่อคุณคิด ( ทั้งดี และไม่ดี ) ก็จะถูกเก็บทั้งหมด เมื่อจิตใต้สำนึกเก็บความคิดที่เป็นลบอยู่เสมอ สิ่งที่จะเกิดผลกระทบตามมาคือ พฤติกรรมคุณก็จะเปลี่ยนไปตามที่คุณคิด ดังคำกล่าวที่ว่า "ความคิด กำหนดพฤติกรรม" เมื่อคุณคิดดี พฤติกรรมที่แสดงออกดีด้วย แต่ถ้าคุณคิดร้าย พฤติกรรมร้าย ๆ ก็จะตามมา เมื่อเราทราบเช่นนี้แล้วเราลองมาเปลี่ยนแปลงชีวิตเรา โดยการเปลี่ยนความคิด ด้วยการป้อนข้อมูลที่เป็นบวกให้กับจิตใต้สำนึกกันดีกว่าครับ</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">วิธีการเปลี่ยนข้อมูลในจิตใต้สำนึก</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">1.สิ่งแรกที่สำคัญมากที่สุดใน สิ่งที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ คือ คุณต้องมีศรัทธา หรือ ความเชื่อก่อนว่าคุณสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิต ความคิด หรือ พฤติกรรมของคุณได้ จากการเปลี่ยนข้อมูลในจิตใต้สำนึก หากคุณขาดซึ่งศรัทธา ย่อมจะประสบความล้มเหลว</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">มีบางคนอาจจะสงสัยว่า แล้วเราจะมีความศรัทธาได้อย่างไร เพราะไม่รู้ว่าปฏิบัติแล้วจะได้ผลจริงหรือไม่ ผมอยากให้เราลองใช้หลัก "กาลามสูตร" อย่าเชื่อทั้งหมด แต่ก็อย่าตัดสินใจปฏิเสธก่อนที่จะนำมาทดลองปฏิบัติ เมื่อเห็นผลแล้วจึงค่อยเชื่อ เมื่อนั้นคุณก็จะเกิดความศรัทธาครับ</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">2.ทางวิทยาศาสตร์สมอง มีข้อมูลว่า เราสามารถที่จะสื่อสารกับจิตใต้สำนึกของเราได้ในขณะที่ยังมีสติอยู่ คือ ช่วงเวลาที่เรามีคลื่นสมองที่มีความถี่ระหว่าง 9 – 13 รอบต่อวินาที หรือที่เรียกว่า ช่วงคลื่นอัลฟ่า ซึ่งจะเป็นช่วงที่เราทำสมาธิ หรือ เป็นช่วงที่เรารู้สึกผ่อนคลายสุด ๆ เช่น ช่วงที่เราตื่นนอนตอนเช้าใหม่ ๆ หรือ เป็นช่วงที่เราปรับคลื่นสมองโดยการใช้เพลงบรรเลง (โมสาส) ช่วยในการปรับให้สมองมาอยู่ในระดับที่ผ่อนคลาย</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">คลื่นสมองของคนเราจะแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ตามความถี่ของคลื่นดังนี้</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">2.1 คลื่นเบต้า มีความถี่ 14-30 hertz เป็นคลื่นที่เกิดขึ้นขณะที่ตัวเราตื่นตัว มีการเคลื่อนไหว ทำกิจกรรมต่างๆ หรือเมื่อเกิดภาวะอารมณ์ที่รุนแรง เช่น เครียด ,กลัว ฯลฯ</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">2.2 คลื่นอัลฟ่า มีความถี่ 9-13 hertz คลื่นนี้เป็นคลื่นที่มีความสงบมากขึ้น และเป็นคลื่นที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์ มาก เพราะเป็นช่วงที่เราสามารถนำข้อมูลดีดีเข้าสู่ระบบการเรียนรู้ความทรงจำถาวร หรือเป็นการโปรแกรมสมองใหม่ได้ เป็นช่วงที่เรานำข้อมูลจากจิตสำนึก (Concious) ไปสู่จิตใต้สำนึก ( Subconcious) ด้วยเหตุนี้ศาสตร์แห่งการบำบัดหลายแขนงจึงพยายามหาทางให้มนุษย์สามารถมี คลื่นอัลฟ่าเกิดขึ้น เพื่อเป็นการล้างระบบของเสียๆออกจากฐานข้อมูลภายในแล้วนำข้อมูลดีดี เข้ามาแทน ซึ่งคนที่ไม่เข้าใจอาจทำสิ่งที่ตรงกันข้ามก็ได้</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">2.3 คลื่นธีต้า มีความถี่ 4-8 hertz เป็นคลื่นสมองที่เกิดตอนเราหลับ หรือทำสมาธิ(เริ่มเข้าฌาน) หรือเมื่อเราตกอยู่ในห้วงสมาธิลึกมากใจจดจ่อจนไม่ได้ยินหรือไม่รับรู้สิ่ง แวดล้อมภายนอก</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">2.4 คลื่นเดต้า มีความถี่ 1-3 hertz เป็นคลื่นที่เกิดในระหว่างหลับลึก ผ่อนคลาย สงบ</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">3.เมื่อคลื่นสมองอยู่ในช่วง ที่ต้องการแล้ว ซึ่งสามารถสังเกตได้จากความสงบภายในจิตใจ รู้สึกสบาย ผ่อนคลาย เพื่อที่จิตใต้สำนึกจะบันทึกข้อมูลได้ง่ายขึ้น ให้เราเลือกประโยค ข้อความ ที่เราต้องการจะแก้ไข เช่น "ฉัน มีความมั่นใจในตัวเอง" หรือ "ฉันเป็นคนที่เรียนเก่ง" (สำหรับคนที่ขาดความมั่นใจ ในตัวเอง) แล้วพูดกับตัวเองในใจ ซ้ำ ๆ กัน 5- 10 รอบ เป็นประจำทุกๆ วัน ช่วงเวลาที่เหมาะสมคือ ช่วงเช้า และก่อนเข้านอน</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">4.จากการวิจัยทางด้านสมองพบ ว่า คนเราจะเปลี่ยนความคิด หรือ พฤติกรรมได้นั้น เราจะต้องคิด หรือทำสิ่งนั้นติดต่อกันไม่น้อยกว่า 21 วันขึ้นไป แล้วผลที่เราต้องการจะค่อย ๆ ปรากฏขึ้น ( เป็นช่วงระยะเวลาที่สมองได้สร้างเส้นใยมารองรับสิ่งที่เราได้เรียนรู้ )</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">5.สิ่งที่สำคัญอันดับสองรองลงมา คือ เราจะต้องมีสติ ระลึกรู้ให้เท่าทันจิต รู้จักที่จะจับความคิดภายในตนเองได้ทันเมื่อมีการเคลื่อนไหวความคิดไปในทาง ลบ ขณะเดียวกันเมื่อเราได้ยินสนทนาในทางลบให้รีบขจัดคำสนทนานั้นๆ ทันที ด้วยคำพูด "หยุด หรือ เลิกคิด" จากนั้นใส่ข้อมูลตรงข้ามที่เป็นบวกแทนที่ เช่น</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">จาก ฉันทำไม่ได้ (ลบ ) เป็น ฉันทำได้แน่นอน ( บวก ) หรือ</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">จาก ฉันเป็นคนที่ไม่เอาไหน เป็น ฉันก็เป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่ง เป็นต้น</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">เทคนิคเหล่านี้จะเกิดผลดีได้ ก็ต่อเมื่อคุณนำมาฝึกฝนตัวเองตลอดเวลาด้วยความมานะ และอดทน ดังคำกล่าวของหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ที่เคยกล่าวไว้ว่า "คน เราตั้งใจทำอะไรแล้ว จงอย่าท้อถอย อย่าหยุดทำ ผิดแล้วไม่เป็นไร แก้ไขใหม่ ทำมันเรื่อยไป จนกว่าจะถึงที่หมาย" ขอให้โชคดี และหมั่นฝึกฝนเพื่อพัฒนาตน นะครับ</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">--------------------------------------------------------------------------------</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"><br />
</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">ผู้เขียนบทความ มนูญ อินทร์พรหม</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">เหตุจูงใจที่เขียนบทความนี้ เพราะ เมื่อก่อนตนเป็นคนที่ขาดความมั่นใจในตนเอง ย้ำคิดย้ำทำโดยเฉพาะในทางที่บั่นทอนตนเอง หลังจากที่ได้ศึกษา ค้นคว้า และนำมาปฏิบัติ เห็นผลไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ จึงอยากที่จะถ่ายทอดให้ผู้อื่น ที่อาจประสบปัญหาเหมือนกันครับ</span><br />
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;">คิดบวก</span>so.pncchttp://www.blogger.com/profile/12918364098107477979noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1692319392341407053.post-3563275129330450952009-11-19T22:57:00.011+07:002009-12-01T23:05:14.259+07:00การสร้างทีมงาน (team building)<div align="left"><strong><span style="color: #cc33cc; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"></span></strong><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">ความสำคัญของการสร้างทีมงาน</span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">การสร้างทีมงาน<span style="font-size: xx-small;"> (Team Building)</span></span><br />
</div><div align="left"><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgV8tloEaM82uL0-xEMOZ-bGbf3IftJL-foUMZpphw7v3JHBoFHUqCAyY4KTA-AUs0dDP5MMehj1FH61fZFD_L0jv9l57Nrr-f_8jBKBMt4DtX4x4E5zPeEX-vYeDypz7ysvb7pzEsP8j4/s1600/bb.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgV8tloEaM82uL0-xEMOZ-bGbf3IftJL-foUMZpphw7v3JHBoFHUqCAyY4KTA-AUs0dDP5MMehj1FH61fZFD_L0jv9l57Nrr-f_8jBKBMt4DtX4x4E5zPeEX-vYeDypz7ysvb7pzEsP8j4/s320/bb.jpg" yr="true" /></span></a><br />
</div><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">ในแง่ของการทำงานเป็นทีม คือการที่บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปมาทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพ </span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> แล้วก็การปฏิบัติงานต่างก็ได้รับความพอใจในผลงานนั้น ๆ ประโยชน์มีมากมาย ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ เช่นการ แข่งขันกีฬาไม่ว่าจะเป็นฟุตบอลวอลเลย์บอล หรือตะกร้อที่จะต้องทำงานประสานกันเป็นทีม ถ้าไม่มีการวางแผนหรือมีการที่จะทำให้กาประสานการเป็นทีม ชัยชนะก็จะไม่เกิดยกตัวอย่างอย่างเล่นฟุตบอลง่าย ๆ ฉะนั้นประโยชน์ของการทำงานเป็นทีมสมาชิกใน ทีมจะต้องได้มีการพัฒนาเต็มความสามารถของตน ได้รับเปลี่ยนความรู้ ทักษะ ประสบการณ์กับเพื่อนร่วมทีมทำให้เกิดการเรียนรู้ การรับฟังความคิดเห็นและการสื่อสารกัน นั่นคือความสำคัญ</span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><a name='more'></a></span><br />
</div><div align="left"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"></span><br />
</div><div align="left"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">ข้อที่ 1<br />
กลไกช่วยทำให้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้เกิดผลผลิตที่เพิ่มขึ้น คุณภาพของผลผลิตและการให้บริการในแง่ของการทำงานที่ดี เกิดการคิดสร้างสรรค์และก็มีความริเริ่มในสิ่งใหม่ ๆ ซึ่งเป็นปัจจัยเสริมสร้างคุณภาพของงานและองค์กรให้มีคุณภาพและมั่นคง นอกจากนี้ยังเป็นขบวนการทำงานที่ช่วยเสริมสร้างบรรยากาศที่ดีให้เกิดความรัก ความสามัคคี น้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีเครือข่ายสัมพันธภาพเกิดความสุขในการทำงานร่วมกัน เมื่อมีการทำงานเป็นทีมที่เกิดขึ้นแล้ว นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้เกิดความสำเร็จคือดัชนีชี้วัด ในการบริหารงานให้ประสบความสำเร็จจะต้องทำให้เกิดการมีส่วนร่วมทำให้เป็นดัชนีที่สามารถที่จะชี้วัดความสำเร็จของทีมได้<br />
ยุทธศาสตร์แห่งความสำเร็จการจะก้าวไปสู่ความเป็นผู้นำ ผู้บริหารหรือผู้นำทุกคน จะต้องมีศักยภาพของการบริหารงานเป็นทีมให้เกิดประสบผลสำเร็จและเกิดความก้าวหน้าลองสังเกตดูสิครับว่าองค์กรไหนก็ดีถ้ามีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ที่ดี มีทักษะของความเป็นผู้นำสามารถที่จะทำให้บุคลากรในหน่วยงานนั้น ๆ เดินหรือไปพร้อม ๆ กันที่จะนำไปสู่ความสำเร็จของการทำงานตรงนั้น คือทีมงานที่ดีที่เกิดขึ้น คือภาพของประโยชน์ของการทำงานเป็นทีม<br />
<br />
</span><strong><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="color: red;">ขั้นตอนการสร้างทีมงาน</span><br />
</span></strong><br />
</div><div align="left"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">บันได คล้าย ๆ บันได 7 ขั้นของขั้นตอนของการสร้างให้เกิดพลังทีมงาน<br />
1. จะต้องมีการกำหนดภารกิจหรืองานที่ทำก่อนว่ามีวัตถุประสงค์ของการทำงานมีบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละคนให้เกิดความชัดเจนว่าใครทำอะไร ที่ไหนอย่างไรในส่วนภารกิจของสมาชิกแต่ละคน<br />
</span><br />
</div><div align="left"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">2. ต้องสร้างความเข้าใจและเปิดโอกาสให้สมาชิกได้มีส่วนร่วมในการเสนอแนะข้อคิดเห็นต่าง ๆ และมีการตัดสินใจร่วมกันเช่น วัตถุประสงค์ในการทำงานคืออะไร ทำไมจึงต้องทำงานนี้มาตรฐานอยู่ในระดับไหน ผลจากการสร้างความเข้าใจของสมาชิกให้มีส่วนร่วมทำให้สมาชิกเกิดความผูกพันกับทีมงานและคือการสร้างความเข้าใจของสมาชิกให้มีส่วนร่วมทำให้สมาชิกเกิดความผูกพันกับทีมงานและคือการสร้างความเข้าใจบันไดที่ 2<br />
</span><br />
</div><div align="left"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">3. เมื่อเกิดความเข้าใจตอนนี้มีการระดมความคิดแล้ว ระดมความคิดเพื่อให้เข้าใจในลักษณะของวัตถุประสงค์ของการ ทำงาน สิ่งที่ต้องการที่จะทำงานร่วมกัน ตลอดจนถึงเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน ในขั้นนี้เป็นการระดมความคิดของสมาชิกทุก คนของทีมในเรื่องที่เกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติงานต่าง ๆ ทักษะการทำงานที่จำเป็น ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่ต้องการ อัตราเสี่ยงกับผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น นั่นเป็นการระดมความคิดในแง่ของการทำงานในหน่วยงานนั้น ๆ<br />
</span><br />
</div><div align="left"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">4. เลือกหรือคัดเลือกความคิด เป็นการพิจารณาความคิดที่ได้จากการระดมสมอง ตัวนี้ไม่ใช่เป็นการคัดเลือกความคิดของ ผู้นำเพียงคนเดียวหรือของคนใดคนเดียวในสมาชิก แต่เกิดขึ้นจากการระดมสมองโดยเฉพาะวิธีการปฏิบัติงานในขั้นตอนต่าง ๆ ของการทำงานซึ่งผู้นำและสมาชิกในทีมเห็นว่าดีที่สุด<br />
</span><br />
</div><div align="left"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">5. ต้องกำหนดเป็นแผนปฏิบัติงาน หมายถึงการวางแผนการทำงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ให้สมาชิกของทีมทุกคนรับ ทราบแผนงานตรงกันว่า ใครมีหน้าที่อะไร ที่ไหน เมื่อใด ผู้นำจะต้องแน่ใจว่าสมาชิกของทีมทุกคนเข้าใจ แต่ละคนมีหน้าที่ความรับผิดชอบอะไรบ้าง<br />
</span><br />
</div><div align="left"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">6. การดำเนินงานตามแผนเมื่อมีการวางแผนเสร็จก็นำแผนนั้นไปดำเนินการตามขั้นตอนที่ได้มีการคัดเลือกความคิดจากการได้ระดมความคิดตรงนั้นมา<br />
</span><br />
</div><div align="left"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">7. บันไดขั้นสุดท้ายมีการประเมินผล เป็นการสรุปผลการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ ของการทำงาน คุณภาพของผลงานเป็นยังไง เกิดปัญหาอุปสรรคอะไรที่เกิดขึ้นแล้วสามารถที่จะแก้ไขปัญหานั้นได้ในลักษณะไหน มีทางเลือกอะไรบ้าง คือบันได 7 ขั้นตอน ของการสร้างทีมงาน<br />
<br />
</span><strong><span style="color: red; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">แนวทางการพัฒนาให้ทีมงานมีประสิทธิภาพ เป็นวงจรของมันมีทั้งหมด 4 ระยะ<br />
</span></strong><br />
</div><div align="left"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">1. ระยะแรกคือระยะของการทำงานร่วมกันแล้วเป็นระยะที่ทีมงานจะต้องก่อตัว สมาชิกแต่ละคนก็จะมีความ แรก ๆ อาจจะไม่มั่นใจในการทำงานและอาจจะไม่เข้าใจในวัตถุประสงค์หรือว่าเป้าหมาย ขั้นตอนนี้เราก็ต้องพยายามที่จะทำให้เกิดความเข้าใจในเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของการทำงานอาจจะมีปัญหาในเรื่องการสื่อสารกันหรือว่าบทบาทของผู้นำในระยะนี้จะต้องทำให้สมาชิกทุกคนเกิดความสบายใจและก็แสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ มีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน อันนั้นคือระยะแรกของการทำงานร่วมกัน<br />
</span><br />
</div><div align="left"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">2. ทำงานไประยะหนึ่งเกิดปัญหาคือระยะประสบปัญหา คือระยะหัวเลี้ยวหัวต่อทีมงานที่มีปัญหาสังเกตได้จากผลการปฏิบัติงานแล้วเกิดความขัดแย้งกันมากมายหรือเปล่า สัมพันธภาพระหว่างสมาชิกในทีมเป็นยังไงบรรยากาศตึงเครียดขนาดไหน ผู้นำก็มีส่วนที่จะต้องแสดงบทบาทสำคัญในการที่จะเป็นผู้ริเริ่มให้สมาชิกยอมรับว่าทีงานกำลังประสบปัญหานะจะต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาบางปัญหาจะต้องแก้ไขโดยทันที ปัญหาบางปัญหาก็อาจจะใช้ระยะเวลาในการที่จะค่อย ๆหาปัญหาที่แท้จริงแล้วก็ช่วยกันแก้ไขให้เกิดความสำเร็จลุล่วงตรงนั้นไป มันก็จะมีผลต่องาน<br />
</span><br />
</div><div align="left"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">3. เมื่อระยะประสบปัญหาสามารถแก้ไขได้ เราก็ร่วมกันช่วยกันแก้ไขปัญหาโดยจะต้องพิจารณาและคำนึงถึงผลประโยชน์ของทีมเป็นส่วนรวม<br />
</span><br />
</div><div align="left"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">4. สมาชิกเข้ามามีส่วนร่วมในการให้ข้อคิดโดยปราศจากความมีอคติ สุดท้ายอาจจะจัดระบบข้อมูลต่าง ๆ จัดโครงสร้างใหม่ของทีมงานปัจจัยแห่งความสำเร็จของทีมงาน </span><br />
</div><div align="left"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"></span><br />
</div><div align="left"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><strong><span style="color: red;">การทำงานเป็นทีมให้ประสบผลสำเร็จนั้น ประกอบด้วย</span></strong><br />
</span><br />
</div><div align="left"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">1. จุดมุ่งหมาย ต้องมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน เหมาะสมและเกี่ยวข้องกับความต้องการของสมาชิกโดยส่วนใหญ่ของทีม<br />
</span><br />
</div><div align="left"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">2. ผู้นำหรือหัวหน้าทีมเน้นเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยสร้างและสนับสนุนให้ทำงานเป็นทีมของสมาชิกทุกคนประสบผลสำเร็จจะต้องมีการวางแผนและการตัดสินใจที่ดี และเป็นการตัดสินใจที่เกิดจากข้อสรุปของสมาชิกในทีมไม่ใช่เป็นการเผด็จการความคิด ของผู้นำเพียงคนเดียว<br />
</span><br />
</div><div align="left"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">3. สมาชิกในทีมจะต้องเข้าใจถึงบทบาทหน้าที่ในการทำงานเป็นทีม ต่อไปเมื่อสมาชิกเข้าใจบทบาทจะต้องมีการสื่อสารเป็นการสื่อสารแบบปิด ระดับบนสู่ระดับล่าง หรือระดับล่างขึ้นสู่ระดับบน หรือในระดับเดียวกันจะต้องมีทุกทิศทางเลย การสื่อสารแบบปิดเพื่อทำให้ปัญหาต่าง ๆ ต้องยอมรับว่าการทำงานนี้จะต้องเกิดปัญหาจะแก้ไขปัญหาตรงนั้นให้ลุล่วงและก็ให้คลี่คลายได้อย่างไร<br />
</span><br />
</div><div align="left"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">4. การมีส่วนร่วม มีส่วนร่วมกับสมาชิกทุกคนจะต้องได้มีการแสดงความคิดเห็นเพื่อหาข้อสรุปร่วมกัน เพื่อสร้างแรงจูงใจและความผูกพันร่วมกันของทีม<br />
</span><br />
</div><div align="left"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">5. การกำหนดบทบาทหน้าที่ กำหนดความรับผิดชอบเพื่อความชัดเจนในการทำงานร่วมกัน มีการประชุมปรึกษาหารือกันแล้วมีการบริหารความขัดแย้ง หลีกเลี่ยงไม่ได้ ความขัดแย้งในทีมมักก่อให้เกิดความริเริ่มและสร้างสรรค์ สามารถมองเห็นปัญหาหลายแง่มุมซึ่งในที่สุดก็สามารถเลือกข้อสรุปที่ดีได้ ความขัดแย้งในทีมมักต้องก่อให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ไม่ใช่เป็นทางให้เกิดการทำให้ทีมงานแตกแยกไป หลาย ๆ ส่วนเวลาเกิดมีปัญหาขัดแย้งกันอย่างรุนแรงทำให้ทีมงานสลายไปเลิกเลยโครงการนั้นก็ ล้มเหลวไป<br />
</span><br />
</div><div align="left"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">6. ความสามารถในการแก้ปัญหาใช้หลักความร่วมมือร่วมใจ ร่วมกันคิดร่วมกันทำเปิดใจและจริงใจกัน คือในลักษณะของ การแก้ปัญหา<br />
</span><br />
</div><div align="left"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">7. การประสานงานภายในทีมที่ดี เกิดความพอใจ การยอมรับ มีการส่งผ่านข้อมูลต่าง ๆ เกิดความชัดเจน มีบรรยากาศที่ดี ในการทำงาน การทำงานจะเกิดผลสำเร็จตามมา นั่นคือปัจจัยที่จะทำให้เกิดความสำเร็จหรือความล้มเหลวของทีมงาน แต่ละข้อก็มีความสำคัญ<br />
<br />
</span><strong><span style="color: red; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">การประเมินความสำเร็จของทีมงาน<br />
</span></strong><br />
</div><div align="left"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">การปฏิบัติงานตามมาตรฐานดูว่าระดับมาตรฐานการปฏิบัติงานทำได้สูงกว่าไหม ถ้าสูงกว่านั่นความสำเร็จสิ่งที่ 1 เกิดขึ้นแล้ว ในลักษณะที่ 2 ทีมงานจะต้องมีจุดมุ่งหมาย คือรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สมาชิกทุกคนได้รับการกระตุ้น จูงใจให้เกิดการทำงานร่วมกันได้อย่างมีบรรยากาศของการทำงานเป็นทีมที่ดี มีแรงจูงใจในการทำงาน แล้วก็การทำงานร่วมกันของสมาชิกทุกคนในทีมเกิดพลังความคิดริเริ่มที่จะทำงานให้ดีขึ้น แล้วก็มีการติดต่ออย่างเปิดเผย เสรี คือในแง่ของการสื่อสารกัน สมาชิกของทีม ทุกคนก็จะต้องมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันช่วยเหลือกันในการทำงานเพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายของทีมงานแล้วก็สมาชิกทุกคนรัก ใคร่ชอบพอ และไว้ใจซึ่งกันและกันมากน้อยแค่ไหน ทำให้ก่อให้เกิดบรรยากาศในการทำงานเป็นทีมที่ดี<br />
</span><br />
</div><div align="left"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">ทีมงานที่ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนพัฒนาตนเองไปพร้อม ๆ กับความสำเร็จหรือเปล่า เกิดความเติบโตของทีมงานใน ระดับไหน สุดท้ายผลสำเร็จของทีมที่ดีก็ต้องส่งผลต่อศักยภาพของหน่วยงานนั้น ๆ ทำให้เกิดชื่อเสียง เกิดภาพลักษณ์ที่ดีแก่ หน่วยงานโดยส่วนร่วม นั่นคือผลสำเร็จของทีมมีผู้นำที่ดี มีทีมงานที่มีประสิทธิภาพในการทำงาน<br />
<br />
<br />
<strong><span style="color: red;">การสร้างทีมงานให้มีประสิทธิภาพ</span></strong><br />
<br />
การสร้างทีมงานให้มีประสิทธิภาพ (Creating Effective Teams)<br />
<br />
จากผลการศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการสร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพ มีสิ่งที่เราต้องคำนึงถึง 2 ประการคือ<br />
<br />
- การทำงานเป็นทีมนั้นมีความแตกต่างกันทั้งในรูปแบบและโครงสร้าง<br />
- Model นี้ตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่า การทำงานเป็นทีมดีกว่าการทำงานคนเดียว<br />
<br />
<br />
<strong><span style="color: red;">องค์ประกอบหลัก ๆ ที่จะทำให้ทีมงานมีประสิทธิภาพ มี 4 ประเภท ได้แก่</span></strong><br />
<br />
1. การออกแบบลักษณะ งาน (work design)<br />
2. องค์ประกอบ (composition) ของการทำงานเป็นทีม<br />
3. ทรัพยากรและสภาพแวดล้อมอื่น ๆ (contextual) ที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพของทีมงาน<br />
4. กระบวนการ (process) ที่เป็นตัวแปรสะท้อนสิ่งต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการทำงานเป็นทีม<br />
<br />
ทีมงานที่มีประสิทธิภาพใน model นี้หมายถึงอะไร ?<br />
รูปแบบนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้วัดการเพิ่มผลผลิต (productivity) ของทีม และสำหรับผู้จัดการไว้ใช้ประเมินผลงานของทีม ตลอดจนใช้วัดภาพรวมเกี่ยวกับความพึงพอใจของสมาชิกในทีม<br />
<br />
<strong>1. การออกแบบลักษณะงาน (Work design)</strong><br />
</span><br />
</div><div align="left"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">ทีมที่มีประสิทธิภาพต้องทำงานร่วมกันและร่วมรับผิดชอบให้งานเสร็จอย่างสมบูรณ์ สมาชิกทุกคนต้องร่วมมือกันทำงานมากกว่า"การมีเพียงชื่ออยู่ในทีม " การออกแบบลักษณะงานนี้ต้องคำนึงถึงตัวแปรต่าง ๆ ด้วยเช่น ความเป็นอิสระ (freedom) การมีอิสระในการทำงาน (autonomy) โอกาสที่จะใช้ทักษะและความสามารถพิเศษที่มีอยู่ ความสามารถโดยรวมซึ่งต้องระบุงานหรือผลิตภัณฑ์ที่ต้องการทำให้สำเร็จ และการทำงานในหน้าที่หรือโครงการที่มีผลกระทบต่อผู้อื่นด้วย มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าลักษณะที่กล่าวมานี้มีผลต่อการเพิ่มแรงจูงใจของสมาชิกในทีมและเพิ่มประสิทธิภาพของทีมงาน การออกแบบลักษณะงานให้จูงใจนี้ก็เพื่อให้สมาชิกมีความรู้สึกร่วมรับผิดชอบและมีความเป็นเจ้าของงานนั้น และจะทำให้เขาปฏิบัติงานนั้นด้วยความเอาใจใส่มากขึ้น<br />
<br />
<strong>2. องค์ประกอบของงาน (Composition)</strong><br />
</span><br />
<div align="left"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">ตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กับการทำงานเป็นทีมได้แก่ ความสามารถ (ability) บุคลิกภาพของสมาชิกในทีม (personality) การกำหนดบทบาทและภาระหน้าที่ต่าง ๆ (roles and diversity) ขนาดของทีม (size of the team) ความชอบ (preference) และความยืดหยุ่น (flexibility)ของสมาชิกในการทำงานเป็นทีม<br />
<br />
ความสามารถของสมาชิก (Abilities of member) การทำงานเป็นทีมจำเป็นต้องมีทักษะที่สำคัญ 3 ประการดังนี้<br />
</span><br />
</div><div align="left"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">1. มีสมาชิกที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านเทคนิค (technical expertise)<br />
2. มีสมาชิกที่มีทักษะในการแก้ปัญหาและตัดสินใจ โดยสามารถระบุปัญหา แสวงหาทางเลือกในการแก้ปัญหา ประเมินทางเลือก และตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหา<br />
3. ทีมต้องมีบุคคลที่มีทักษะการฟัง การให้ข้อมูลย้อนกลับ การแก้ปัญหาความขัดแย้งตลอดจนทักษะการสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคลที่ดี (interpersonal skills)<br />
<br />
บุคลิกภาพ (Personality)<br />
บุคลิกภาพเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการแสดงพฤติกรรมของบุคคลและจะส่งผลต่อพฤติกรรมของทีม ตามทฤษฎีบุคลิกภาพ Big five model ได้แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ของบุคลิกภาพกับการทำงานเป็นทีมว่าลักษณะของทีมที่ดีนั้นต้องประกอบด้วยสมาชิกที่มีบุคลิกภาพแบบเปิดเผย (extroversion) ประนีประนอม (agreeableness) รอบคอบระมัดระวัง (conscientiousness) และอารมณ์มั่นคง (emotional stability) ทีมที่มีบุคลิกภาพแบบนี้มี แนวโน้มที่จะมีผลงานของทีมที่ดีด้วย<br />
การกำหนดบทบาทและภาระหน้าที่ต่าง ๆ (Allocating Roles and Diversity) การทำงานเป็นทีม สมาชิกในทีมมีความต้องการที่แตกต่างกัน และสมาชิกในทีมควรคัดเลือกมาเพื่อให้มั่นใจว่ามีความหลากหลายในหน้าที่การงานและกำหนดบทบาทที่แตกต่างกัน<br />
<br />
เราสามารถจำแนกบทบาทของสมาชิกในทีมที่มีศักยภาพได้ 9 ประการดังนี้<br />
1. ผู้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (Creator) เป็นผู้ที่มีหน้าที่คิดริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ<br />
2. ผู้ส่งเสริมสนับสนุน (Promoter) เป็นผู้สามารถนำความคิดริเริ่มใหม่ ๆ มาประยุกต์ใช้ในการทำงาน<br />
3. ผู้ประเมิน (Assessor) เป็นผู้ที่คอยวิเคราะห์ข้อเสนอต่าง ๆเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการประเมินก่อนตัดสินใจ<br />
4. ผู้จัดการระบบ (Organizer) เป็นผู้ที่วางโครงสร้างและจัดเตรียมสิ่งต่าง ๆ ที่จำเป็นในการทำงาน<br />
5. ผู้ผลิต (Producer) เป็นผู้ที่กำหนดทิศทางการทำงานและติดตามผลการทำงานของทีม<br />
6. ผู้ควบคุม (Controller) เป็นผู้ที่คอยตรวจสอบรายละเอียดและดูแลว่าเป็นไปตามกฎเกณฑ์ ที่กำหนดไว้หรือไม่ อย่างไร<br />
7. ผู้บำรุงรักษา (Maintainer) เป็นผู้ที่คอยปกป้องและ เผชิญ/ต่อสู้กับปัจจัยภายนอก<br />
8. ผู้ให้คำปรึกษาแนะนำ (Advisor) เป็นผู้สนับสนุนในการแสวงหาข้อมูลต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้ภายในทีม<br />
9. ผู้เชื่อมโยง (Linkers) เป็นผู้ประสานงานและบูรณาการข้อมูลต่าง ๆ ภายในทีม<br />
<br />
การทำงานเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จนั้นจะมีสมาชิกที่แสดงบทบาททั้ง 9 ได้อย่างครบถ้วน และจะต้องเลือกบุคคลให้แสดงบทบาทต่าง ๆโดยคำนึงถึงทักษะ ความถนัด หรือความชอบของบุคคลนั้นด้วย (มีหลายทีมที่มีบุคคลที่เล่นได้หลายบทบาท) หัวหน้าทีมต้องรู้จักและเข้าใจลักษณะของสมาชิกแต่ละคนในทีม และควรมอบหมายงานให้สมาชิกแต่ละคนให้ตรงกับความชอบและความสามารถของแต่ละคน หากเป็นดังนี้แล้วสมาชิกในทีมก็จะร่วมมือกันทำงานในทีมได้เป็นอย่างดี<br />
<br />
<strong>ขนาดของทีม (Size of Teams)</strong><br />
</span><br />
</div><div align="left"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">ทีมงานที่ดีควรมีสมาชิกประมาณ 7-9 คน ทีมที่มีประสิทธิภาพควรมีสมาชิกน้อยกว่า 10 คน ถ้ามีสมาชิกที่มากกว่านี้หัวหน้าก็อาจจะมีความยุ่งยากและพบปัญหาในการบริหารทีม ทีมงานไม่ควรมีสมาชิกน้อยกว่า 4-5 คน ทั้งนี้ก็เพื่อให้มีมุมมองและทักษะที่หลากหลาย ดังนั้นทีมที่มีประสิทธิภาพควรมีสมาชิกไม่เกิน 10 คน หากหน่วยงานที่มีขนาดใหญ่และต้องการให้พนักงานทำงานเป็นทีมก็ควรมีการแบ่งเป็นทีมย่อย ๆ<br />
<br />
</span><strong><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">ความยืดหยุ่นของสมาชิกในทีม (Member Flexibility)<br />
</span></strong><br />
</div><div align="left"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">การสร้างทีมให้มีความยืดหยุ่นในการทำงานจะทำให้สมาชิกสามารถทำงานแทนกันได้ ซึ่งจะทำให้มีการ พึ่งพิงสมาชิกคนใดคนหนึ่งน้อยลง ดังนั้นจึงควรพัฒนาสมาชิกที่จะทำให้เกิดความยืดหยุ่นด้วยการฝึกให้เขาสามารถทำงานในหน้าที่อื่นของเพื่อนร่วมงานได้ ซึ่งจะส่งผลให้ผลงานของทีมมีประสิทธิภาพสูงขึ้น<br />
<br />
<strong>ความชอบของสมาชิก (Member Preference)</strong><br />
</span><br />
</div><div align="left"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">พนักงานบางคนอาจไม่ชอบการทำงานเป็นทีม เมื่อถูกเลือกให้มาทำงานเป็นทีมหัวหน้าทีมจำเป็นต้องสร้างขวัญและความพึงพอใจให้กับสมาชิกแต่ละคน มีข้อเสนอแนะว่าหากมีการคัดเลือกสมาชิกเข้าทีม ควรพิจารณาเกี่ยวกับความสามารถ ความชอบ บุคลิกภาพและทักษะของแต่ละบุคคลด้วย ทั้งนี้เพราะทีมที่มีผลงานอย่างยอดเยี่ยมมักจะประกอบด้วยบุคคลที่ชอบการทำงานเป็นทีม<br />
<br />
<strong>3. สภาพแวดล้อม (Context)</strong> </span><br />
</div><div align="left"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"></span><br />
</div><div align="left"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">ปัจจัยต่าง ๆ เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมที่มีความสัมพันธ์อย่างสูงกับผลการปฏิบัติงานของทีมมี 4 ประการดังนี้<br />
1. การมีทรัพยากรที่เพียงพอ (Adequate Resources) เพื่อให้การทำงานเป็นทีมมีประสิทธิภาพนั้นควรพิจารณาสิ่งเหล่านี้ประกอบด้วยเช่น ข้อมูลที่ทันสมัย เทศโนโลยี กำลังพลที่เพียงพอ การช่วยเหลือและสนับสนุนตลอดจนผู้ช่วยบริหารทีมงาน ทีมงานต้องได้รับการสนับสนุนทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการทำงานจากผู้บริหาร<br />
2. ผู้นำและโครงสร้าง (Leadership and Structure) ภายในทีมจำเป็นต้องมีผู้นำและโครงสร้างการทำงานของทีม เพื่อให้สมาชิกแต่ละคนทราบบทบาทหน้าที่และขอบเขตงานที่ตนเองรับผิดชอบและมีการแบ่งงานกันอย่างชัดเจน นอกจากนี้ทีมต้องกำหนดแผนการทำงาน พัฒนาทักษะที่จำเป็นในการทำงานให้กับสมาชิก มีผู้นำคอยแก้ปัญหาความขัดแย้งภายในทีม เป็นต้น ผู้นำนั้นในบางครั้งอาจไม่จำเป็น หลายครั้งเราอาจพบว่าการทำงานเป็นทีมที่ดีอาจไม่มีผู้นำที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการก็ได้ ผู้นำที่ดีคือคนที่สามารถบริหารทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ<br />
3. บรรยากาศของความไว้วางใจ (Climate and Trust) สมาชิกของทีมงานที่มีประสิทธิภาพมักมีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และเขามักแสดงออกถึงความไว้วางใจในตัวผู้นำทีมด้วย ความไว้วางใจกันของสมาชิกภายในทีมจะเอื้อให้เกิดความร่วมมือกัน ลดความจำเป็นที่ต้องมีการควบคุมพฤติกรรมโดยบุคคลอื่น และสมาชิกจะมีความเชื่อว่าไม่มีใครในทีมที่เอาเปรียบ ความไว้วางใจเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของผู้นำ ความไว้วางใจในตัวผู้นำเป็นสิ่งที่สำคัญที่สมาชิกในทีมเต็มใจที่จะยอมรับและมีความผูกพันต่อเป้าหมายและการตัดสินใจของผู้นำ<br />
4. การประเมินผลการปฏิบัติงานและระบบการให้รางวัล (Performance Evaluation and Reward systems) การประเมินผลการปฏิบัติงานเป็นรายบุคคลเพื่อจ่ายค่าจ้างต่อชั่วโมง หรือแรงกระตุ้นส่วนบุคคล (Individual incentives) ดูเหมือนว่าจะไม่เพียงพอสำหรับการพัฒนาผลงานของทีมให้สูงขึ้น ดังนั้นการประเมินผลหรือระบบการให้รางวัลควรพิจารณาเป็นกลุ่ม เช่น การแบ่งปันผลประโยชน์ การแบ่งปันสิ่งที่ได้รับ แรงกระตุ้นสำหรับกลุ่มย่อย และระบบการเสริมแรงอื่น ๆ ควรให้เป็นทีมมากกว่าการให้เป็นรายบุคคล<br />
<br />
<strong>4. กระบวนการ (Process)</strong><br />
</span><br />
</div><div align="left"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">กระบวนการในการทำงานก็เป็นตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพของทีม โดยสมาชิกในทีมต้องมีความผูกพันกับสิ่งเหล่านี้<br />
<br />
1. วัตถุประสงค์ทั่วไป (Common Purpose)<br />
การทำงานเป็นที่มีประสิทธิภาพนั้นสมาชิกในทีมต้องร่วมกันตั้งวัตถุประสงค์ในการทำงานเพื่อกำหนดทิศทาง การทุ่มเทแรงกายแรงใจ และความผูกพันของสมาชิก ซึ่งวัตถุประสงค์นี้ก็คือ วิสัยทัศน์ (vision) นั่นเองซึ่งมีความหมายกว้างกว่าคำว่า "เป้าหมาย"<br />
2. เป้าหมายเฉพาะ (Specific Goals)<br />
ทีมที่ประสบความสำเร็จจะแปลงวัตถุประสงค์ทั่วไปมาเป็นเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง (specific) สามารถวัดได้ (measurable) และมีความเป็นไปได้จริง (realistic) การตั้งเป้าหมายให้เฉพาะเจาะจงนี้จะช่วยให้การสื่อสารภายในทีมมีความชัดเจนขึ้น และทำให้ทุกคนมีความมุ่งมั่นที่จะทำงานให้บรรลุเป้าหมาย จากผลการวิจัยพบว่าการตั้งเป้าหมายส่วนบุคคล หรือเป้าหมายของทีมควรมีความท้าทาย (challenging) การตั้งเป้าหมายที่ยากพบว่ามีผลต่อการเพิ่มผลงานของทีมให้สูงขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การตั้งเป้าหมายเกี่ยวกับคุณภาพ มีแนวโน้มทำให้คุณภาพสูงขึ้น การตั้งเป้าหมายเกี่ยวกับความเร็ว มีแนวโน้มทำให้มีความเร็วเพิ่มขึ้น การตั้งเป้าหมายเกี่ยวกับความถูกต้องมีแนวโน้มทำให้ความถูกต้องเพิ่มขึ้น เป็นต้น<br />
3. ความเชื่อในศักยภาพของทีม (Efficacy)<br />
ทีมที่มีประสิทธิภาพจะต้องมีความเชื่อมั่นในทีมของตนเอง สมาชิกในทีมจะมีความเชื่อว่าทีมของเขาสามารถประสบความสำเร็จได้ เราเรียกสิ่งนี้ว่า "Team efficacy"<br />
ทีมที่เคยทำงานประสบความสำเร็จจะมีความเชื่อว่าการทำงานในอนาคตจะประสบความสำเร็จเช่นกัน ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจทำให้เขาทำงานหนักขึ้น มีความพยายามมากขึ้น การที่จะทำให้ทีมมี Team efficacy สูงขึ้นนั้นสามารถสร้างได้โดยการทำให้ทีมประสบความสำเร็จทีละเล็กทีละน้อยหลาย ๆ ครั้ง และการฝึกฝนทักษะภายในทีมให้เพิ่มพูนขึ้นก็จะทำให้ทีมมั่นใจเพิ่มขึ้นมี Team efficacy สูงขึ้น<br />
4. ระดับความขัดแย้ง (Conflict Level)<br />
ความขัดแย้งภายในทีมมิใช่เป็นสิ่งที่เลวร้ายเสมอไป ในทางตรงกันข้ามทีมที่หลีกหนีความขัดแย้งจะเริ่มกลายเป็นทีมที่เงียบเหงา หยุดนิ่งไม่มีการพัฒนา ความขัดแย้งจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของทีม และทำให้ไม่เกิดลักษณะของ Groupthink (พวกมากลากไป) ความขัดแย้งในงานจะเป็นสิ่งเร้าทำให้ทุกคนช่วยกันอภิปราย ส่งเสริมการประเมินเชิงวิพากษ์เกี่ยวกับปัญหาซึ่งจะนำไปสู่แนวทางการตัดสินใจที่ดีของทีม ดังนั้นทีมงานที่มีประสิทธิภาพจะมีลักษณะที่มีระดับความขัดแย้งที่เหมาะสมไม่มากหรือน้อยเกินไป<br />
5. การกินแรงเพื่อน (Social Loafing)<br />
ที่ผ่านมาเราได้เรียนรู้ว่าสมาชิกบางคนสามารถแอบแฝง/ซ่อนเร้นอยู่ภายในกลุ่มได้ เขาจะมีพฤติกรรมกินแรงเพื่อนและพยายามอยู่ภายในกลุ่มโดยไม่ทำงาน ทีมงานที่มีประสิทธิภาพมีแนวโน้มที่จะให้การยอมรับนับถือซึ่งกันและกันทั้งระดับรายบุคคลและทีม สมาชิกจะมีส่วนร่วมในการกำหนดวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และหลักการร่วมกัน สมาชิกจะเข้าใจอย่างชัดเจนว่าตนเองมีหน้าที่รับผิดชอบอะไรและมีส่วนร่วมอย่างไรบ้าง ฉะนั้นพฤติกรรมการกินแรงเพื่อนจะไม่เกิด<br />
<br />
<br />
<strong>สรุปแล้ว</strong><br />
<br />
การสร้างทีมงาน (Team Building) หมายถึง กระบวนการพัฒนากลุ่มบุคคลที่ทำงานด้วยกัน เพื่อที่จะให้บุคคลเหล่านั้นได้เรียนรู้ว่าจะทำอย่างไรจึงจะสามารถทำงานให้บรรลุเป้าหมายของทั้งตนเอง ของกลุ่มหรือของหน่วยงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผล<br />
<br />
องค์ประกอบที่เป็นพื้นฐานของทีมงาน หรือการทำงานเป็นทีม (Teamwork)<br />
<br />
1. T = Target - เป้าหมาย<br />
2. E = Empathy - ความเห็นอกเห็นใจ<br />
3. A = Application - การมีส่วนร่วม<br />
4. M = Moral - มีคุณธรรม<br />
5. W = Welfare - ความปลอดภัย<br />
6. O = Open Mind - เปิดใจกว้าง<br />
7. R = Responsibility - ความรับผิดชอบ<br />
8. K = Knowledge - ความรู้เชิงวิชาการ<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
</span><br />
</div></div>so.pncchttp://www.blogger.com/profile/12918364098107477979noreply@blogger.com